สวัสดีครับเพื่อนๆ ผมห่างหายหน้าไปนานมาก เนื่องจากหน้าที่การงานผูกมัดเวลา เอ้อ...คงจะไม่มีใครอยากมาฟังเรื่องนี้หรอกนะ เอาละมาเข้าเรื่องดีกว่า การลงทุนในทองคำ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนคงต้องเห็นภาพทองคำแท่งสีเหลืองอร่ามลอยไปมา ซึ่งไม่ใช่ครับ ปีนี้เป็นปีพ.ศ. 2554 หาใช่่เมื่อ 20 ปีก่อน เดี๋ยวนี้มีการลงทุนทั้ง การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่อยู่ในตลาดอนุพันธ์ แห่งประเทศไทย และในอนาคตอันใกล้นี้ จะมีนวัตกรรมใหม่อีกหนึ่ง ที่เป็นสินค้ามาให้นักลงทุนเลือก นั่นคือ Gold ETF (Gold Exchange Trade Fund)ชื่อนี้หากท่านเป็นนักลงทุนที่มีการติดตามข่าวเศรษฐกิจของโลก จะคงคุ้นหู แต่ผมจะขอถือโอกาสนี้มาอธิบายให้ท่านมีความกระจ่างมากขึ้นครับ
Gold ETF คือกองทุนที่ตั้งขึ้นในลักษณะ Passive Fund หมายความว่า เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้น โดยมีจุดประสงค์ที่จะเอาเงินที่ได้ไปซื้อทองคำแท่งมาเก็บรักษา โดยจะมีผู้ดูแลที่แต่งตั้งโดยตลาดหลักทรัพย์ และได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่กำกับดูแลของรัฐ คำว่า Passive หมายความว่ากองทุนนี้มีจุดประสงค์ที่จะไม่มีการนำทองคำ ไปซื้อขายเพื่อทำกำไรแต่จะหากำไรจากการขยับของราคาทองคำเท่านั้น เริ่มต้นก็ต้องมีการจดทะเบียนเพื่อก่อตั้งกองทุนขึ้น และนำหน่วยลงทุนออกขาย เมื่อได้เงินมาแล้วก็นำไปจัดซื้อทองคำตามจุดประสงค์ แล้วนำทองคำนี้ไปฝากไว้กับ Custodian ที่ได้รับการแต่งตั้ง โดยจะมีการนำหน่วยลงทุนนี้ไปขึ้นทะเบียนไว้ที่ตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้นักลงทุนสามารถที่จะไปสั่งซื้อขาย ได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิดทำการ คราวนี้มาดูว่าตัว Gold ETF นี้ต่างจากหน่วยลงทุนที่มี บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมต่างๆเปิดขายอยู่ตอนนี้อย่างไร ท่านนักลงทุนที่เคยลงทุนในกองทุนอาทิ KGold หรือ Gold Fund ของ TMBAM หรือที่ใกล้เคียงเป็นต้น ท่านจะทราบว่า การซื้อหรือขายหน่วยลงทุนจะมีข้อจำกัดหลายๆด้าน เช่นต้องแจ้งความประสงค์ก่อนเวลา 15.30 น. และราคาของหน่วยลงทุนจะถูกคำนวณหลังจากที่ตลาดปิดแล้ว บางกองต้องรอข้ามวันเพื่อทราบราคา NAV ซึ่งพวกกองทุนเหล่านี้ไม่ได้เป็นการซื้อโดยตรง first hand แต่เป็นการซื้อหรือขายผ่าน บริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวมในต่างประเทศอีกต่อหนึ่ง ทำให้นักลงทุนต้องจ่ายค่าบริหารจัดการ เป็นสองหรือสามต่อซึ่งมากกว่าที่จะไปซื้อด้วยตัวเอง แต่นั่นก็ไม่สามารถทำได้เพราะว่า ในประเทศไทยยังมีกฎหมาย ควบคุมการเคลื่อนไหวของเงินทุนที่จะไปลงในต่างประเทศที่มีธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลอยู่
เรามาพิจารณาว่าทำไม Gold ETF ถึงมีคนนิยมมากมาย ก็เพราะว่าคนสนใจที่จะลงทุนในทองคำ แต่ไม่สามารถที่จะหาซื้อมาเก็บได้เอง ด้วยสาเหตุของการที่มีต้นทุนในการซื้อ การจัดเก็บ อีกทั้งการหาซื้อก็ต้องซื้อในปริมาณที่มากๆเพื่อให้ได้ราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาดโลกเป็นต้น อีกทั้งราคาของหน่วยลงทุนมีราคาไม่สูงมากนัก ทำให้นักลงทุนทุกคนสามารถที่จะซื้อมาเก็บได้ แต่ที่นักลงทุนจะเข้าไปทำการซื้อขายนี้ เป็น ตลาด secondary โดยที่ในตลาด primary นั้นจะมีตัวละครอยู่แค่2-3 คนเท่านั้น คือ ตัวกองทุน PD (Participating Dealer) และ Market Maker โดยที่ทั้ง 3 ฝ่ายนี้จะมีหน้าที่ต่างกันและทำงานโดยเอื้อซึ่งกันและกัน โดยที่นักลงทุนจะทำการซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดผ่าน PD เมื่อมีการซื้อหน่วยลงทุนในตลาดมากกว่าการขาย กองทุนก็จะออกหน่วยลงทุนแล้วนำเงินไปซื้อทองคำ แต่หากเป็นในทางตรงกันข้าม มีการขายมากกว่าการซื้อ ก็จะมีการนำหน่วยลงทุนไปคืนให้กองทุน ทำให้กองทุนจะต้องนำทองคำออกขายเพื่อคืนเงินให้นักลงทุน เห็นไหมครับ ลักษณะการคิดไม่ยากอย่างที่เราเข้าใจ เพียงแต่เราทำการซื้อขายทองผ่านกองทุนโดยมีตลาดหลักทรัพย์เป็นคนกลาง คอยป้องกันไม่ให้เกิดการผิดสัญญา เวลาที่มีคนซื้อขาเดียวมากๆ หรือมีคนขายขาเดียวมากๆ การชำระราคาก็มีการชำระผ่าน TCH (Thailand Clearing House) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์ เราจึงตัดปัญหาการรับเช็คเวลาเราไปส่งมอบทองให้ร้านทองได้เลย
ปัจจุบัน ยังไม่มีใครตั้งกองทุน Gold ETF ในประเทศ แต่มีการตั้งกองทุนเพื่อที่จะนำเงินทุนไปซื้อหน่วยลงทุนในต่างประเทศ เอ! แล้วมันต่างอะไรกับที่มีกองทุนทองของบลจ.ต่างๆ ก็ตรงที่นักลงทุนสามารถสั่งซื้อหรือสั่งขายได้ในลักษณะ real time อย่างไรละครับ เช่นในทางทฤษฎี ราคาของหน่วยลงทุนจะต้องคล้องจองไปกับราคาของทองคำโลก ดังนั้นเมื่อราคาทองโลกขึ้น ราคาของหน่วยลงทุนก็ต้องขึ้นไปตามสัดส่วน และเวลาราคาทองโลกลง ราคาของหน่วยลงทุนก็ต้องลงเช่นกัน ดังนี้เราสามารถขจัดปัญหาการกั๊กราคาของสมาคมค้าทองคำได้
เห็นไหมครับ น่าสนุกและน่าตื่นเต้นดีออก ที่ในไม่ช้า เราจะมีเครื่องมือมาช่วยให้พวกเรานักลงทุน สามารถแสวงหาความมั่งคั่งได้อีก 1 ตัวแล้ว และเป็นการลงทุนที่ถูกต้องตามกฎหมาย และมีหน่วยงานราชการคอยควบคุมผลประโยชน์ให้ท่านอีกครับ
ในแวดวงของการลงทุนเรื่องนี้ ยังมีคำศัพท์ที่พวกเราควรต้องรู้ไว้คือ Redeem และ Create โดยคำแรก หมายความถึง มีผู้ลงทุนต้องการที่จะขายหน่วยลงทุนเป็นจำนวนมาก ทาง PD (Participating Dealer)จะไปทำการติดต่อกับทางกองทุน เพื่อทำการขอ Redeem คือเอาหน่วยลงทุนไปคืนเขาแล้วรับเงินคืนกลับมา เพื่อนำส่งต่อให้นักลงทุน ส่วน คำที่สองคือในกรณีที่มีนักลงทุนจำนวนมากมีความต้องการซื้อหน่วยลงทุน ทาง PD ก็จะไปติดต่อกับกองทุนเพื่อให้เขาออกหน่วยลงทุนออกมาในจำนวนที่ต้องการ แล้วทาง PD ก็จะจ่ายเงินให้กองทุนเป็นค่าหน่วยลงทุน แล้วนำหน่วยลงทุนนี้มามอบให้กับนักลงทุน
ดูสิครับ ง่ายๆและเป็นธรรมดาเสียเหลือเกิน แต่นี่เป็นการลงทุนที่ ร้อนแรง ที่สุดในทศศตวรรษนี้ เนื่องจากราคาทองคำของโลก มีการเปลี่ยนแปลงหรือแกว่งตัวมาก ทำให้นักลงทุนสามารถหาจังหวะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำครับ สุดท้ายนี้ก็ขอให้ท่านโชคดี มีกำไรให้เก็บทุกวันครับ
วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ราคาทองคำจะขึ้นไปถึงไหน
สวัสดีครับ ห่างหายไปนาน เพราะว่าเกิดขัดข้องทางเทคนิค มาครั้งนี้ต้องขอพูดเรื่องที่ Hot hit ของเดือน นั่นคือ ราคาทอง เดี๋ยวนี้ไปไหนๆก็มีแต่คนถามว่า ทองจะขึ้นไปถึงไหน ตอนนี้ซื้อทองได้หรือยัง ราคาทองตอนนี้ขึ้นสูงสุดหรือยัง คำถามเหล่านี้เป็นเสมือนการโยนหินถามทาง ซึ่งไม่มีใครรู้หรอกครับว่า คำตอบคืออะไร หากผู้ถามเฉลียวใจสักนิดว่า หากผู้ที่ถูกถามรู้อย่างแน่นอนว่าราคาทองตอนนี้เป็นอย่างไร คงไม่มาเดินตามท้องถนนให้เหนื่อยหรอก ป่านนี้คงมีรถลิมูซีนมาเกยหน้าออฟฟิศแล้ว
แต่ที่คนถามนั้นเพราะว่าพวกเขาเป็นนักลงทุนที่คงจะเข้าผิดทาง และต้องการคำยืนยันจากผู้มีประสบการณ์มากกว่า ว่าการตัดสินใจของพวกเขาถูกต้องหรือสามารถรอได้ ไม่ผลีผลามทำการตัดขาดทุน พวกท่านเชื่อหรือไม่ว่า ขณะนี้มีนักลงทุนที่มีอายุน้อยๆให้ความสนใจอย่างมาก ขนาดเพื่อนของลูกสาวซึ่งมีอายุเพียง 24 ปี ก็ให้ความสนใจ แต่ยังจดๆจ้องๆอยู่ คงจะเป็นเพราะว่ามีเงินเก็บอยู่น้อย เลยไม่อยากที่จะทุ่มเข้ามาลงทุนในทองคำ แต่หากได้เข้ามาสักครั้งหนึ่งแล้วก็ยากที่จะย้ายไปลงทุนที่อื่น เพราะว่ามีอัตราของผู้ชนะสูงเกือบ 85%
เอาละมาเข้าเรื่องกัน ราคาทองในวันนี้อยู่ที่ 1376 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งทรอยเอานซ์ ( 1 troy ounce= 31.1034 grams ) ราคาเช่นนี้สูงไหม ผมว่าสูงครับ เพราะว่าราคาทองในประวัติศาสตร์เคยขึ้นสูงที่สุดเมื่อไม่กี่อาทิตย์มานี้ที่ 1426 เหรียญสหรัฐ แต่อยู่ได้เพียงครู่เดียวราคาก็หักหัวลง เพราะว่ามีนักลงทุนเข้ามาทำกำไรจนราคาตกลงไปที่ 1324 เหรียญสหรัฐ และตอนนี้ราคาได้เริ่มดีดกลับมา และได้แรงส่งจากความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี ทำให้มีแรงส่งราคาให้สูงขึ้น คราวนี้มาดูราคาทองในประเทศไทยกัน มีปัจจัยอีกตัวหนึ่งที่ทำให้ราคาทองผันผวนมากในช่วงสัปดาห์นี้ นั่นคือค่าเงินบาทเมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลหลักต่างๆ โดยในระหว่างวันสองวันนี้ ค่าเงินบาทได้อ่อนตัวลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากตลาดหุ้นมีดัชนีเป็นติดลบ อีกทั้งเรื่องในรัฐสภาที่มีข่าวเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้นักลงทุนต่างชาติ พากันปิดสถานะการลงทุนในประเทศและคาดว่าจะมีการขนเงินออกไปที่อื่น
แต่ที่คนถามนั้นเพราะว่าพวกเขาเป็นนักลงทุนที่คงจะเข้าผิดทาง และต้องการคำยืนยันจากผู้มีประสบการณ์มากกว่า ว่าการตัดสินใจของพวกเขาถูกต้องหรือสามารถรอได้ ไม่ผลีผลามทำการตัดขาดทุน พวกท่านเชื่อหรือไม่ว่า ขณะนี้มีนักลงทุนที่มีอายุน้อยๆให้ความสนใจอย่างมาก ขนาดเพื่อนของลูกสาวซึ่งมีอายุเพียง 24 ปี ก็ให้ความสนใจ แต่ยังจดๆจ้องๆอยู่ คงจะเป็นเพราะว่ามีเงินเก็บอยู่น้อย เลยไม่อยากที่จะทุ่มเข้ามาลงทุนในทองคำ แต่หากได้เข้ามาสักครั้งหนึ่งแล้วก็ยากที่จะย้ายไปลงทุนที่อื่น เพราะว่ามีอัตราของผู้ชนะสูงเกือบ 85%
เอาละมาเข้าเรื่องกัน ราคาทองในวันนี้อยู่ที่ 1376 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งทรอยเอานซ์ ( 1 troy ounce= 31.1034 grams ) ราคาเช่นนี้สูงไหม ผมว่าสูงครับ เพราะว่าราคาทองในประวัติศาสตร์เคยขึ้นสูงที่สุดเมื่อไม่กี่อาทิตย์มานี้ที่ 1426 เหรียญสหรัฐ แต่อยู่ได้เพียงครู่เดียวราคาก็หักหัวลง เพราะว่ามีนักลงทุนเข้ามาทำกำไรจนราคาตกลงไปที่ 1324 เหรียญสหรัฐ และตอนนี้ราคาได้เริ่มดีดกลับมา และได้แรงส่งจากความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี ทำให้มีแรงส่งราคาให้สูงขึ้น คราวนี้มาดูราคาทองในประเทศไทยกัน มีปัจจัยอีกตัวหนึ่งที่ทำให้ราคาทองผันผวนมากในช่วงสัปดาห์นี้ นั่นคือค่าเงินบาทเมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลหลักต่างๆ โดยในระหว่างวันสองวันนี้ ค่าเงินบาทได้อ่อนตัวลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากตลาดหุ้นมีดัชนีเป็นติดลบ อีกทั้งเรื่องในรัฐสภาที่มีข่าวเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้นักลงทุนต่างชาติ พากันปิดสถานะการลงทุนในประเทศและคาดว่าจะมีการขนเงินออกไปที่อื่น
วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
Volume ของ Gold Future เริ่มหนาแน่น....เพราะคนเริ่มเข้าใจ และเริ่มโกย Profit
ผมได้จับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาทองใน Gold Futures และพบความจริงที่ว่า เมื่อไรที่ราคาทองพุ่งสูงขึ้น จำนวนสัญญาก็เพิ่มมากขึ้นด้วย นั่นแสดงว่า นักลงทุนมองโอกาศในการทำกำไรจากตลาดนี้ได้ถ่องแท้และชัดเจน แต่หากราคาทองเคลื่อนไหวไปในทางตรงกันข้าม คือราคาเดินลง จะมีจำนวนสัญญาน้อยมากเมื่อเทียบกับตอนราคาขาขึ้น นี่คงจะเป็นเพราะว่าการจับคู่สัญญาไม่เกิดหรืออาจะเพราะว่า นักลงทุนมองทิศทางขาลงว่า มีความเสี่ยงสูง ในทางกลับกัน ผมมองว่านักลงทุนควรทำความเข้าใจกับการหาโอกาศที่เกิดขึ้น เนื่องจากราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวอย่างมาก ผมมีความเห็นว่าหากราคาทองไม่มีการเคลื่อนไหวหรือมีน้อยๆ เป็นลักษณะของการเคลื่อนไหวแบบ sideways ซึ่งมันหมายความว่าอะไรผมก็ไม่แน่ใจนัก รู้แต่ว่ามันค่อนข้างนิ่ง ทองคำจะหมดเสน่ห์ต่อนักลงทุน ดังนั้นผมขอแนะนำให้นักลงทุนทำการศึกษาหาความรู้จาก ตัวแทนของ บล. ต่างๆหรือจากร้านทองที่มีความรู้เพื่อที่จะเตรียมตัวกับ ประโยชน์ที่จะมากับการลงทุนในตลาด Gold Future
จากนี้ไป ตลาดทองรูปพรรณจะมีแต่หดตัว เพราะว่าค่านิยมของคนรุ่นปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อน คนในวัยทำงานจะไม่มองว่าการซื้อทองรูปพรรณเป็นการสะสมเงิน หรือเป็นการออมเพื่ออนาคต แต่เขาจะมองว่าการที่ไปซื้อทองรูปพรรณมาเก็บนั้นจะกลายเป็น Liability เพราะว่าต้องมีการเก็บรักษา และการที่ถือทองรูปพรรณมากๆนั้นไม่มีผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย คนรุ่นก่อนๆก็จะมีแต่แก่ชราและโรยราไป ทำให้จำนวนของลูกค้าที่จะเข้ามาในร้านทอง เพื่อหาซื้อทองรูปพรรณไปสวมใส่ก็จะค่อยๆลดลง ส่วนลูกค้าที่ซื้อทองคำแท่งไปเก็บ เพื่อหวังว่าในอนาคตจะได้กำไรจากการที่ราคาทองสูงขึ้น ก็จะเบื่อหน่ายกับการที่จะต้องไปเข้าคิวเวลาที่ทองคำราคาลดลง สิ่งที่จะเป็นคำตอบให้ท่านนักลงทุนก็คือ ตลาด Gold Futures การที่ตลาดได้เปิดขึ้นมาก็เพื่อสนองความต้องการ ของคนรุ่นใหม่ในวันนี้และวันข้างหน้า ผมจึงใคร่อยากให้ท่านที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกลในการลงทุน มีการสละเวลาอันมีค่าของท่าน เพื่อที่จะได้เข้ามาทำความรู้จักกับ เครื่องมือของความมั่งคั่งตัวใหม่นี้
ผมขออนุญาต อธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจเบื้องต้นแก่ท่านที่ได้สละเวลาเข้ามาอ่านในบล็อกนี้
ในตลาด Gold Futures จะมีสินค้าให้เลือกซื้ออยู่ทั้งหมด 6 ตัว โดยแยกประเภทออกเป็น 2 ประเภทแต่มีระยะเวลาของสัญญาเป็น 3 ช่วงเวลา อย่างแรกคือสัญญาที่เรามีฐานะเป็นผู้ซื้อ ( Long Position ) ในที่นี้ หมายถึงว่า เราได้คาดการณ์ไว้ว่า ราคาทองในอนาคตจะมีราคาสูงขึ้น เราจึงส่งคำสั่งว่า เราจะเป็นผู้ซื้อ ส่วนคำสั่งที่เรามีฐานะว่าเป็นผู้ขาย ( Short Position ) นั้นคือเราในฐานะผู้ส่งคำสั่งคาดการณ์ว่า ราคาทองในอนาคตจะลดลง เราจึงส่งคำสั่งว่าเราต้องการที่จะขายทองก่อนในวันนี้
ส่วนระยะเวลาที่สัญญาจะหมดอายุ เราจะใช้ในวันที่สิ้นสุดในเดือนคู่ เช่น สัญญาที่จะหมดอายุในเดือน กุมภาพันธ์ เมษายน มิถุนายน เป็นต้น ท่านสามารถเลือกส่งคำสั่งได้ใน 3 ช่วงเวลานี้ การอธิบายให้พวกนักลงทุนทราบนั้น ผมว่ายากครับเพราะว่าการที่ท่านจะเข้าใจได้ดีที่สุดคือ ท่านต้องเข้ามาลองเล่นดู มีนักลงทุนจำนวนมากที่รับฟังข่าวสารจากสื่อชนิดต่างๆ อาทิ หนังสือพิมพ์ รายการทอร์คโชว์ หรือการสัมมนาของทางตลาด TFEX ผมสังเกตได้ว่าทุกสื่อจะแจ้งเสมอว่ามีความเสี่ยงมากๆ แต่ผมมองกลับกันครับ คือขณะที่เรากำลังเล่นอยู่เราเพียงแต่วางเงินค้ำประกันไว้กับบริษัทโบรกเกอร์เพียงประมาณ 70,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้มิใช่เป็นค่าซื้อสัญญา แต่เป็นการวางเงินค้ำประกัน ซึ่งเราสามารถถอนคืนได้ทุกเมื่อถ้าเราไม่มีการเทรดแล้ว และขณะที่เราเทรดหากมีกำไร ทางศูนย์ TCH ซึ่งถูกควบคุมโดยทางการจะทำการจ่ายเงินคืนให้ เข้าบัญชีของท่านที่โบรกเกอร์ที่ทำสัญญากันอยู่ จะเห็นว่าความเสี่ยงเมื่อเทียบกับการเล่นหุ้นนั้น เทียบกันไม่ติด เพราะว่าถ้าท่านซื้อหุ้น ท่านต้องจ่ายค่าหุ้นเต็มจำนวน และท่านจะต้องฝากหุ้นไว้กับศูนย์ฝากหุ้น นั่นหมายความว่า ท่านจะต้องจ่ายเงินเต็มและรับมาแค่ใบรายงานว่าท่านมีหู้นอะไรบ้างและจำนวนเท่าไร
ความเสี่ยงของการเล่นหุ้นนั้นผมเข้าใจว่าดังนี้ หุ้นเป็นส่วนที่มนุษย์สมมุติขึ้นว่าท่านมีส่วนในการเป็นเจ้าของบริษัท หากบริษัทที่ท่านสนใจซื้อหุ้นไว้ มีการประกอบการที่ดี ขายผลิตภัณฑ์ได้มีกำไรมากๆ หมายความว่าเมื่อสิ้นปีท่านควรต้องได้รับเงินปันผลคืนกลับมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ในความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะว่าการตัดสินใจที่จะแบ่งส่วนกำไรของบริษัทเป็นอำนาจการตัดสินใจของผู้บริหารซึ่งส่วนมากก็คือผู้ถือหุ้นใหญ่ ฝ่ายบริหารจะกันส่วนใหญ่ของกำไรไว้ใช้ในการขยายบริษัทหรือเอาไว้ทดแทนส่วนที่ทำขาดทุนไปในระหว่างปี และจะจัดสรรเพียงส่วนเล็กๆให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างพวกเรา และหากเป็นโชคดีของบางท่านผู้บริหารมิได้มีใจที่เป็นธรรม ทำการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของบริษัทไปให้ตัวเองและญาติพี่น้อง ทำให้สภาพฐานะทางการเงินง่อนแง่น และหนีไปต่างประเทศ อย่างของกรณีของบมจ.เอสอีซีซี ที่โด่งดัง ราคาหุ้นของท่านก็จะมีค่าเป็นศูนย์ มูลค่าหุ้นที่ท่านต้องจ่ายเต็มจำนวนต้องมีอันเป็นอากาศธาตุไป อย่างนี้เป็นต้น
จากนี้ไป ตลาดทองรูปพรรณจะมีแต่หดตัว เพราะว่าค่านิยมของคนรุ่นปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อน คนในวัยทำงานจะไม่มองว่าการซื้อทองรูปพรรณเป็นการสะสมเงิน หรือเป็นการออมเพื่ออนาคต แต่เขาจะมองว่าการที่ไปซื้อทองรูปพรรณมาเก็บนั้นจะกลายเป็น Liability เพราะว่าต้องมีการเก็บรักษา และการที่ถือทองรูปพรรณมากๆนั้นไม่มีผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย คนรุ่นก่อนๆก็จะมีแต่แก่ชราและโรยราไป ทำให้จำนวนของลูกค้าที่จะเข้ามาในร้านทอง เพื่อหาซื้อทองรูปพรรณไปสวมใส่ก็จะค่อยๆลดลง ส่วนลูกค้าที่ซื้อทองคำแท่งไปเก็บ เพื่อหวังว่าในอนาคตจะได้กำไรจากการที่ราคาทองสูงขึ้น ก็จะเบื่อหน่ายกับการที่จะต้องไปเข้าคิวเวลาที่ทองคำราคาลดลง สิ่งที่จะเป็นคำตอบให้ท่านนักลงทุนก็คือ ตลาด Gold Futures การที่ตลาดได้เปิดขึ้นมาก็เพื่อสนองความต้องการ ของคนรุ่นใหม่ในวันนี้และวันข้างหน้า ผมจึงใคร่อยากให้ท่านที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกลในการลงทุน มีการสละเวลาอันมีค่าของท่าน เพื่อที่จะได้เข้ามาทำความรู้จักกับ เครื่องมือของความมั่งคั่งตัวใหม่นี้
ผมขออนุญาต อธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจเบื้องต้นแก่ท่านที่ได้สละเวลาเข้ามาอ่านในบล็อกนี้
ในตลาด Gold Futures จะมีสินค้าให้เลือกซื้ออยู่ทั้งหมด 6 ตัว โดยแยกประเภทออกเป็น 2 ประเภทแต่มีระยะเวลาของสัญญาเป็น 3 ช่วงเวลา อย่างแรกคือสัญญาที่เรามีฐานะเป็นผู้ซื้อ ( Long Position ) ในที่นี้ หมายถึงว่า เราได้คาดการณ์ไว้ว่า ราคาทองในอนาคตจะมีราคาสูงขึ้น เราจึงส่งคำสั่งว่า เราจะเป็นผู้ซื้อ ส่วนคำสั่งที่เรามีฐานะว่าเป็นผู้ขาย ( Short Position ) นั้นคือเราในฐานะผู้ส่งคำสั่งคาดการณ์ว่า ราคาทองในอนาคตจะลดลง เราจึงส่งคำสั่งว่าเราต้องการที่จะขายทองก่อนในวันนี้
ส่วนระยะเวลาที่สัญญาจะหมดอายุ เราจะใช้ในวันที่สิ้นสุดในเดือนคู่ เช่น สัญญาที่จะหมดอายุในเดือน กุมภาพันธ์ เมษายน มิถุนายน เป็นต้น ท่านสามารถเลือกส่งคำสั่งได้ใน 3 ช่วงเวลานี้ การอธิบายให้พวกนักลงทุนทราบนั้น ผมว่ายากครับเพราะว่าการที่ท่านจะเข้าใจได้ดีที่สุดคือ ท่านต้องเข้ามาลองเล่นดู มีนักลงทุนจำนวนมากที่รับฟังข่าวสารจากสื่อชนิดต่างๆ อาทิ หนังสือพิมพ์ รายการทอร์คโชว์ หรือการสัมมนาของทางตลาด TFEX ผมสังเกตได้ว่าทุกสื่อจะแจ้งเสมอว่ามีความเสี่ยงมากๆ แต่ผมมองกลับกันครับ คือขณะที่เรากำลังเล่นอยู่เราเพียงแต่วางเงินค้ำประกันไว้กับบริษัทโบรกเกอร์เพียงประมาณ 70,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้มิใช่เป็นค่าซื้อสัญญา แต่เป็นการวางเงินค้ำประกัน ซึ่งเราสามารถถอนคืนได้ทุกเมื่อถ้าเราไม่มีการเทรดแล้ว และขณะที่เราเทรดหากมีกำไร ทางศูนย์ TCH ซึ่งถูกควบคุมโดยทางการจะทำการจ่ายเงินคืนให้ เข้าบัญชีของท่านที่โบรกเกอร์ที่ทำสัญญากันอยู่ จะเห็นว่าความเสี่ยงเมื่อเทียบกับการเล่นหุ้นนั้น เทียบกันไม่ติด เพราะว่าถ้าท่านซื้อหุ้น ท่านต้องจ่ายค่าหุ้นเต็มจำนวน และท่านจะต้องฝากหุ้นไว้กับศูนย์ฝากหุ้น นั่นหมายความว่า ท่านจะต้องจ่ายเงินเต็มและรับมาแค่ใบรายงานว่าท่านมีหู้นอะไรบ้างและจำนวนเท่าไร
ความเสี่ยงของการเล่นหุ้นนั้นผมเข้าใจว่าดังนี้ หุ้นเป็นส่วนที่มนุษย์สมมุติขึ้นว่าท่านมีส่วนในการเป็นเจ้าของบริษัท หากบริษัทที่ท่านสนใจซื้อหุ้นไว้ มีการประกอบการที่ดี ขายผลิตภัณฑ์ได้มีกำไรมากๆ หมายความว่าเมื่อสิ้นปีท่านควรต้องได้รับเงินปันผลคืนกลับมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ในความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะว่าการตัดสินใจที่จะแบ่งส่วนกำไรของบริษัทเป็นอำนาจการตัดสินใจของผู้บริหารซึ่งส่วนมากก็คือผู้ถือหุ้นใหญ่ ฝ่ายบริหารจะกันส่วนใหญ่ของกำไรไว้ใช้ในการขยายบริษัทหรือเอาไว้ทดแทนส่วนที่ทำขาดทุนไปในระหว่างปี และจะจัดสรรเพียงส่วนเล็กๆให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างพวกเรา และหากเป็นโชคดีของบางท่านผู้บริหารมิได้มีใจที่เป็นธรรม ทำการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของบริษัทไปให้ตัวเองและญาติพี่น้อง ทำให้สภาพฐานะทางการเงินง่อนแง่น และหนีไปต่างประเทศ อย่างของกรณีของบมจ.เอสอีซีซี ที่โด่งดัง ราคาหุ้นของท่านก็จะมีค่าเป็นศูนย์ มูลค่าหุ้นที่ท่านต้องจ่ายเต็มจำนวนต้องมีอันเป็นอากาศธาตุไป อย่างนี้เป็นต้น
วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
หลังจาก 1 อาทิตย์ที่เปิด Gold Future สถานะการณ์เป็นอย่างไร
ผมขอมาวิเคราะห์สถานะการณ์ของตลาดทองในประเทศไทย หลังจากที่ได้มีการเปิดตลาด Gold Future ขึ้น จากการที่ผมได้คลุกคลีมาในสมาคมค้าทอง นานพอสมควร ผมเห็นสิ่งน่าสังเกตบางประการนั่นคือ การกำหนดราคาทองที่สมาคมค้าทองคำ มีหน้าที่กำหนดให้ร้านทองทั่วประเทศต้องยึดถือเป็นหลัก ได้มีการกำหนดให้ราคาทองในประเทศเข้าใกล้กับราคาทองจากตลาดโลก เข้าทุกที นี่อาจจะเป็นด้วยที่นักลงทุนสามารถเข้าไปที่ตลาด TFEX เพื่อที่จะไปส่งคำสั่งซื้อหรือขายได้ แต่เท่าที่สังเกตุมาหนึ่งอาทิตย์ จำนวน Volume ของ Gold Future ยังมีไม่มากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าทั้ง 4 Brokers ที่มาจากร้านทองยังไม่ได้รับใบอนุญาตจากทาง ก.ล.ต. ให้ทำการซื้อขาย โดยต้องรอไปเดือนหน้า ทำให้การส่งคำสั่งจึงจำกัดอยู่แต่ใน Brokers ที่เป็นบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียน
เราจะเห็นได้ว่านักลงทุนที่ปัจจุบันทำการส่งคำสั่ง ซื้อขายอยู่ในตลาด TFEX ไม่กล้าที่จะเข้ามาในตัว Gold Future เพราะว่าไม่มีความมั่นใจในการลงทุนนัก และจำนวนของผู้ที่เกี่ยวข้องกับทอง ก็ยังไม่ได้เข้ามาจึงทำให้จำนวนสัญญามีไม่มาก ผมมองว่าเริ่มจากเดือนหน้า หลังจากที่ทั้ง 4 Brokers จากร้านทองเริ่มเข้ามารับคำสั่ง จะทำให้มีการสั่งมากขึ้นครับ
เราจะเห็นได้ว่านักลงทุนที่ปัจจุบันทำการส่งคำสั่ง ซื้อขายอยู่ในตลาด TFEX ไม่กล้าที่จะเข้ามาในตัว Gold Future เพราะว่าไม่มีความมั่นใจในการลงทุนนัก และจำนวนของผู้ที่เกี่ยวข้องกับทอง ก็ยังไม่ได้เข้ามาจึงทำให้จำนวนสัญญามีไม่มาก ผมมองว่าเริ่มจากเดือนหน้า หลังจากที่ทั้ง 4 Brokers จากร้านทองเริ่มเข้ามารับคำสั่ง จะทำให้มีการสั่งมากขึ้นครับ
วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552
The Old Market at Sarm Shook, Supanburee
Hello everyone, I am quite sorry that I was too busy travelling around the countryside lately due to the festive season and all my family members were all present. During Christmas, I took my family to visit the very well known market called the Old Market of Sarm Shook. This market is located around 35 Km. north of the city of Supanburee on the way toward to Chainart Province. I have heard about this market for so long but I can't figure out what will it look like. So I will try to bring you along the journey and see how you can enjoy the trip along with me.
Supanburee is a province located on the north to northeast of Bangkok. The city used to be an old capital of Thai people before the Ayuthaya era. The city or province as most of the people called is famous for the small city where the land is rich with gold as the city is translated by words. In the past, many Thais enemies wanted to occupy this piece of land because of the ability to harvest all year long. If you can not quite figure out, please think of the state of Iowa in the America where the middle east millionaires had to come to purchase the soil back to their country. There are so many history in this province but people seemed to forget or not try to remember.
This picture is the shrine of the Luck Muang God. At first, I think that it is the shrine of the Luck Muang( the first mile stone of the city ). But I was wrong, this is the shrine of the God named Luck Muang. They are two pieces of stone with the figure of god sculpted or we can say these are the bask reliefs like the one in Ankor Wat. There is a legend that these two pieces of stone had floated upstream to where this shrine is today. Many people of Supanburee had gathered money to build this shrine so they could come to perform their religious activities. Today, there is a brand new museum called the Museum of the Chinese Descendents. Everybody should take time to visit. It is worth for your time....I can guarantee it.
Besides these two special places, there are many interesting places in Supanburee province. The food is excellent and reasonable price. The local is very friendly and they are eager to show you their town.
วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551
งานที่เด็กๆจาก คณะสถาปัตย์ ธรรมศาสตร์ ทำ เลยเอามาให้ดู
หลายๆท่านที่เคยมีประสบการณ์ในการแต่งบ้าน คงเคยเจอปัญหาที่ไม่สามารถสื่อสารกับ สถาปนิกหรือมัณฑณากร เพราะว่าไม่สามารถที่จะอ่านพิมพ์เขียวหรือ Layout Plan ที่เขาเอามาแสดงให้เราดู พอช่างเฟอร์นิเจอร์เริ่มที่จะทำการตกแต่งบ้านของท่าน ปัญหาก็เริ่มเข้ามา ทำให้เราในฐานะเจ้าของงานต้องมีปากเสียงกับช่างตลอดเวลา สุดท้ายเราต้องให้ช่างเปลี่ยนแปลงงานเพราะว่าออกมาไม่เป็นที่พอใจ แต่มาปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือที่อาศัยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เราสามารถที่จะสร้างภาพของห้องต่างๆ ที่เรามีความประสงค์ที่จะตกแต่ง ออกมาเป็นภาพสามมิติ ทั้งสีและส่วนประกอบต่างของห้อง ก่อนที่เราจะเริ่มจ้างช่างเฟอร์นิเจอร์ ทำให้เราสามารถที่จะแก้ไขการตกแต่งได้แต่เนิ่นๆ ก่อนที่เราจะต้องเสียอารมภ์ไปกับการทะเลาะกับช่าง ภาพสามมิติที่สร้างขึ้นนี้ นักตกแต่งภายในสามารถที่จะแก้ไขทั้งรูปลักษณ์ของเฟอร์นิเจอร์ หรือวอลเปเปอร์ หรือสีที่ใช้ทาภายใน ให้ได้ตามที่ท่านเจ้าของต้องการ ปัจจุบัน จะมีสถาปนิกเพียงไม่กี่ท่าน ที่นิยมใช้เครื่องมือนี้ในการตกลงกับลูกค้า แต่หากเป็นความประสงค์ของลูกค้า ทางสถาปนิกก็ต้องหามาให้
ในฐานะที่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเจอะเจอกับปัญหา ที่ไม่สามารถตรวจพบได้ก่อนที่ช่างเฟอร์นิเจอร์จะมาประมูล และตีราคาของงาน ทำให้ผมต้องตัดเสาไม้ที่สถาปนิกออกแบบมาออกเสีย สี่ต้น เพราะว่าภรรยาของผมรับไม่ได้กับเสาทั้งสี่ต้นนี้ เสียเงินไปพอสมควร และปัจจุบัน เสาทั้งสี่ต้น ได้กลายมาเป็นส่วนเกินของบ้าน คิดเป็นเงินก็อยู่ในราว แสนกว่าบาท
หากท่านไม่ทราบว่า ภาพ Perspectives เป็นอย่างไร ผมขอเรียนเชิญไปชมผลงานของเด็กคณะ สถาปัตย์ แผนกตกแต่งภายใน มหาฯธรรมศาสตร์ ที่ http://perspective-helper.blogspot.com/ ลองไปชมดูนะครับ มันสามารถช่วยท่านให้ประหยัดเวลา และเงินทองได้มากจริงๆครับ
วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
เมื่อสงสัย...เมื่ออยากรู้...แล้วทำไมไม่ถาม (เรื่องการศึกษา)
สวัสดีครับเพื่อนๆผู้ปกครองของน้องที่กำลังศึกษาอยู่ มีหลายท่านที่มีความสงสัยในเรื่องการศึกษา และได้ส่งคำถามมาหาผม แต่ส่วนมากปัญหาต่างๆนั้น มันเลยช่วงเวลาที่จะวางแผนปฏิบัติไปแล้ว อาทิเช่น การที่มาปรึกษาถึงเรื่องการเอาลูกเข้าโรงเรียนชั้นนำต่างๆ ที่ผมเคยเขียนมาในบทความแรกๆ แต่มาตอนที่เขาสอบคัดเลือกไปแล้ว ผมละจนใจจริงๆ การที่จะให้ผมแนะนำวิธีที่ต้องอาศัยวิทยายุทธ กำลังภายในที่จะไปบีบให้ทางโรงเรียนต้องรับลูกของท่านนั้น ผมค่อนข้างที่จะไม่เห็นด้วย ผมอยากให้ท่านติดต่อเข้ามาแต่เนิ่นๆ ดั่งเช่น ท่านมีลูกอายุประมาณ 3-4 ปี และมีความตั้งใจที่จะเอาลูกเข้าเรียนในโรงเรียนอัสสัมชัญ ท่านควรติดต่อมาแต่เนิ่นคือ ขณะที่ลูกเรียนอยู่ในชั้น อนุบาล 2 เทอมต้น เพื่อให้ท่านมีเวลาในการวางแผน ไม่ใช่ลูกของท่านกำลังเรียนอยู่ในชั้นอนุบาล 3 เทอมต้น แล้วจะไปทำอะไรได้ เพราะว่าเวลานั้น ผู้ปกครองทุกท่านก็กำลังวิ่งเส้นกันอยู่ทั้งนั้น หากท่านเป็นคนธรรมดาที่ ไม่มีคนรู้จักเป็นผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษา หรือเป็นนายกสมาคมศิษย์เก่าของโรงเรียนนั้นๆ ผมว่าท่านต้องมองหาโรงเรียนอื่นได้แล้วครับ โอกาศของท่านจะริบหรี่มาก แต่หากท่านได้พยายามเดินเรื่องแต่เนิ่นๆ มากกว่าคนอื่นเป็นปี ท่านก็จะมีโอกาศที่ดีที่ลูกจะได้รับเข้าเรียน การเตรียมตัวก็มีทั้งการเอาลูกไปกวดวิชา ใช่ครับเด็กอนุบาลก็ต้องกวดวิชาเหมือนกัน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการสอบ
จากนั้นท่านก็ต้องเริ่มดำเนินการสานสัมพันธไมตรีกับทางโรงเรียน โดยการไปช่วยงานต่างๆ ไม่ใช่ส่งแต่เงินไปนะครับ แต่ท่านต้องไปช่วยทำงานในสมาคมผู้ปกครอง โดยการทำในสิ่งที่ท่านถนัด หรือเป็นฝ่ายจัดหาทุน ซึ่งฝ่ายนี้มีหน้าที่หาเงินให้โรงเรียนอย่างเดียว แล้วก็จะเกิดคำถามขึ้นว่า จะทราบได้อย่างไรว่า เมื่อเราได้ไปบำเพ็ญประโยชน์ให้กับทางสถานศึกษาแล้ว เขาจะรับลูกของท่าน ขอตอบว่า ไม่มีการสัญญาใดๆทั้งสิ้น แต่ท่านต้องลงทุนทำสิ่งที่เป็นกุศล เพื่อที่สิ่งนั้นจะได้มาออกผลที่ลูกของท่านครับ ผมอยากเรียนให้ท่านทั้งหลายทราบนะครับว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะศรัทธากับการทำบุญ แต่มีอยู่หลายครั้งที่ผมได้มีโอกาศที่จะทำการกุศล โดยที่ตัวเองไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน คือมีครูต่างจังหวัดมาหาและขอให้ผม ซึ่งไม่รู้จักครูทื่านนี้มาก่อน ช่วยจัดหาอุปกรณ์การเรียน อาทิ ดินสอ ปากกา สมุด ยางลบ เป็นต้น เพราะว่าทางราชการให้มาแต่ตำราการเรียน แต่ไม่ได้ส่งสิ่งของอย่างอื่นมาให้ ผมเห็นว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยจึงให้เด็กไปจัดหามาให้ จากนั้น ทางโรงเรียนก็ได้ส่งจดหมายขอบคุณ แล้วลงลายมือชื่อเด็กมาให้ แค่นั้นผมก็ชุ่มชื่นหัวใจแล้ว แต่คงจะเป็นเพราะผลบุญที่ทำไว้จึงส่งผลให้ บรรดาลูกๆของผมเป็นเด็กเรียนดี ค่อนข้างเก่งทีเดียว ผมจึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า การคิดที่จะทำความดี ไม่มีการการันตีผลตอบแทนหรอกครับ แต่ความดีนั้นๆจะส่งผลบุญมาที่ท่านและครอบครัว ช้าหรือเร็วแล้วแต่บุญกรรมของท่านเองครับ
จากที่พบมา ร้อยละ 90 ที่ท่านผู้ปกครองที่ได้ไปรับใช้โรงเรียนอย่างเต็มใจนะ ลูกมักเข้าได้ครับ
ในบรรดาโรงเรียนที่เข้ายากที่ผมเคยเอ่ยนามไปแล้วนั้น ทุกแห่งจะมีการเปิดประเภทเด็กที่มีอุปการะคุณกับทางสถานศึกษา แต่ว่า โควต้านี้ จะมีอยู่เพียง 10% ของจำนวนนักเรียนที่รับเข้าศึกษา ส่วนมากเด็กของผู้ที่มีชื่อเสียงมักจะได้ก่อน ต่อจากนั้นก็จะเป็นเด็กของพวกคหบดีใหญ่ๆ ต่อจากนั้นก็จะมาถึงท่านที่ช่วยโรงเรียนนี่แหละครับ หลายๆท่านอาจจะรู้สึกท้อแท้ว่า ตัวเองไม่ใช่คนสำคัญ ไม่มีเงินทองมากมาย แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทางโรงเรียนใช่เป็นมาตรฐานวัดว่า เด็กคนไหนถึงเข้าเรียนได้ครับ ความเอาใจใส่ต่อโรงเรียน และความสนใจในการศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งครับ
สิ่งสำคัญที่ท่านผู้ปกครองต้องทำคือ ท่านต้องหาครูที่จะมาเป็นติวเตอร์ให้กับลูกของท่าน ครูที่ท่านจะเลือกต้องมีคุณสมบัติที่เคยติวเด็ก และสามารถสอบเข้าโรงเรียนที่ลูกท่านจะเข้ามาแล้ว การที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าครูมีมากมาย แต่จะมีครูเพียงไม่กี่ท่านที่ คอยติดตามดูการสอบเข้าของโรงเรียนดังๆ และมีการตระเตรียมข้อสอบเก่าๆ เพื่อที่จะให้เด็กทดลองทำ การที่เด็กได้เคยผ่านการฝึกฝนให้ทำข้อสอบแต่เนิ่นๆนั้น ก็ทำให้เด็กไม่ประหม่าเวลาที่เข้าสอบจริง สำหรับเรื่องรายชื่อของครูนั้น ท่านต้องทำการบ้านเองนะโดยการสอบถามจากเพื่อนๆที่มีลูกเรียนอยู่ก่อนแล้ว ครูดีๆหายากครับ ค่าจ้างไม่แพงหรอกครับ ครูเหล่านี้มีความตั้งใจที่จะนำพาลูกๆของเราให้เข้าเรียนในที่นั้นๆได้ แต่ท่านต้องหาให้เจอครับ
ต่อจากนั้นท่านต้องมีการติดต่อกับทางโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ หลายท่านจะถามว่าทำอย่างไร ผมเองก็เคยเจอปัญหาประเภทนี้มาแล้ว และนอกจากลูกของตัวเองแล้ว ยังมีลูกของพี่สาวเอย ลูกของน้องชายเอย ลูกของเพื่อนอีก จนทางโรงเรียนนึกว่าผมมีอาชีพพาเด็กเข้าโรงเรียน เดินเข้าไปทีไรโดนมองหน้าแปลกๆทุกที ตอนหลังพอลูกจบจึงได้เลิกครับ วิธีที่จะเข้าไปติดต่อคือ ท่านต้องไปสอบถามว่า ทางโรงเรียนมีงานโรงเรียนในวันไหนบ้าง ทุกโรงเรียนจะมีวันที่จะจัดงานออกร้าน เพื่อหาทุนต่างๆ และมีการขายบัตรการแสดง มีการจัดแข่งโบวลิ่ง หรือการจัดแข่งแรลลี่ เป็นต้น ท่านต้องหาเวลาพาลูกไปอย่างสม่ำเสมอ และท่านต้องพาลูกไปหาท่านอธิการด้วยนะหรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นอาจารย์ใหญ่ ไปเรื่อยจนกว่าทางโรงเรียนจะจำชื่อคุณได้ครับ
กิบัติไปแล้ว
จากนั้นท่านก็ต้องเริ่มดำเนินการสานสัมพันธไมตรีกับทางโรงเรียน โดยการไปช่วยงานต่างๆ ไม่ใช่ส่งแต่เงินไปนะครับ แต่ท่านต้องไปช่วยทำงานในสมาคมผู้ปกครอง โดยการทำในสิ่งที่ท่านถนัด หรือเป็นฝ่ายจัดหาทุน ซึ่งฝ่ายนี้มีหน้าที่หาเงินให้โรงเรียนอย่างเดียว แล้วก็จะเกิดคำถามขึ้นว่า จะทราบได้อย่างไรว่า เมื่อเราได้ไปบำเพ็ญประโยชน์ให้กับทางสถานศึกษาแล้ว เขาจะรับลูกของท่าน ขอตอบว่า ไม่มีการสัญญาใดๆทั้งสิ้น แต่ท่านต้องลงทุนทำสิ่งที่เป็นกุศล เพื่อที่สิ่งนั้นจะได้มาออกผลที่ลูกของท่านครับ ผมอยากเรียนให้ท่านทั้งหลายทราบนะครับว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะศรัทธากับการทำบุญ แต่มีอยู่หลายครั้งที่ผมได้มีโอกาศที่จะทำการกุศล โดยที่ตัวเองไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน คือมีครูต่างจังหวัดมาหาและขอให้ผม ซึ่งไม่รู้จักครูทื่านนี้มาก่อน ช่วยจัดหาอุปกรณ์การเรียน อาทิ ดินสอ ปากกา สมุด ยางลบ เป็นต้น เพราะว่าทางราชการให้มาแต่ตำราการเรียน แต่ไม่ได้ส่งสิ่งของอย่างอื่นมาให้ ผมเห็นว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยจึงให้เด็กไปจัดหามาให้ จากนั้น ทางโรงเรียนก็ได้ส่งจดหมายขอบคุณ แล้วลงลายมือชื่อเด็กมาให้ แค่นั้นผมก็ชุ่มชื่นหัวใจแล้ว แต่คงจะเป็นเพราะผลบุญที่ทำไว้จึงส่งผลให้ บรรดาลูกๆของผมเป็นเด็กเรียนดี ค่อนข้างเก่งทีเดียว ผมจึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า การคิดที่จะทำความดี ไม่มีการการันตีผลตอบแทนหรอกครับ แต่ความดีนั้นๆจะส่งผลบุญมาที่ท่านและครอบครัว ช้าหรือเร็วแล้วแต่บุญกรรมของท่านเองครับ
จากที่พบมา ร้อยละ 90 ที่ท่านผู้ปกครองที่ได้ไปรับใช้โรงเรียนอย่างเต็มใจนะ ลูกมักเข้าได้ครับ
ในบรรดาโรงเรียนที่เข้ายากที่ผมเคยเอ่ยนามไปแล้วนั้น ทุกแห่งจะมีการเปิดประเภทเด็กที่มีอุปการะคุณกับทางสถานศึกษา แต่ว่า โควต้านี้ จะมีอยู่เพียง 10% ของจำนวนนักเรียนที่รับเข้าศึกษา ส่วนมากเด็กของผู้ที่มีชื่อเสียงมักจะได้ก่อน ต่อจากนั้นก็จะเป็นเด็กของพวกคหบดีใหญ่ๆ ต่อจากนั้นก็จะมาถึงท่านที่ช่วยโรงเรียนนี่แหละครับ หลายๆท่านอาจจะรู้สึกท้อแท้ว่า ตัวเองไม่ใช่คนสำคัญ ไม่มีเงินทองมากมาย แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทางโรงเรียนใช่เป็นมาตรฐานวัดว่า เด็กคนไหนถึงเข้าเรียนได้ครับ ความเอาใจใส่ต่อโรงเรียน และความสนใจในการศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งครับ
สิ่งสำคัญที่ท่านผู้ปกครองต้องทำคือ ท่านต้องหาครูที่จะมาเป็นติวเตอร์ให้กับลูกของท่าน ครูที่ท่านจะเลือกต้องมีคุณสมบัติที่เคยติวเด็ก และสามารถสอบเข้าโรงเรียนที่ลูกท่านจะเข้ามาแล้ว การที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าครูมีมากมาย แต่จะมีครูเพียงไม่กี่ท่านที่ คอยติดตามดูการสอบเข้าของโรงเรียนดังๆ และมีการตระเตรียมข้อสอบเก่าๆ เพื่อที่จะให้เด็กทดลองทำ การที่เด็กได้เคยผ่านการฝึกฝนให้ทำข้อสอบแต่เนิ่นๆนั้น ก็ทำให้เด็กไม่ประหม่าเวลาที่เข้าสอบจริง สำหรับเรื่องรายชื่อของครูนั้น ท่านต้องทำการบ้านเองนะโดยการสอบถามจากเพื่อนๆที่มีลูกเรียนอยู่ก่อนแล้ว ครูดีๆหายากครับ ค่าจ้างไม่แพงหรอกครับ ครูเหล่านี้มีความตั้งใจที่จะนำพาลูกๆของเราให้เข้าเรียนในที่นั้นๆได้ แต่ท่านต้องหาให้เจอครับ
ต่อจากนั้นท่านต้องมีการติดต่อกับทางโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ หลายท่านจะถามว่าทำอย่างไร ผมเองก็เคยเจอปัญหาประเภทนี้มาแล้ว และนอกจากลูกของตัวเองแล้ว ยังมีลูกของพี่สาวเอย ลูกของน้องชายเอย ลูกของเพื่อนอีก จนทางโรงเรียนนึกว่าผมมีอาชีพพาเด็กเข้าโรงเรียน เดินเข้าไปทีไรโดนมองหน้าแปลกๆทุกที ตอนหลังพอลูกจบจึงได้เลิกครับ วิธีที่จะเข้าไปติดต่อคือ ท่านต้องไปสอบถามว่า ทางโรงเรียนมีงานโรงเรียนในวันไหนบ้าง ทุกโรงเรียนจะมีวันที่จะจัดงานออกร้าน เพื่อหาทุนต่างๆ และมีการขายบัตรการแสดง มีการจัดแข่งโบวลิ่ง หรือการจัดแข่งแรลลี่ เป็นต้น ท่านต้องหาเวลาพาลูกไปอย่างสม่ำเสมอ และท่านต้องพาลูกไปหาท่านอธิการด้วยนะหรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นอาจารย์ใหญ่ ไปเรื่อยจนกว่าทางโรงเรียนจะจำชื่อคุณได้ครับ
กิบัติไปแล้ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)