วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

งานที่เด็กๆจาก คณะสถาปัตย์ ธรรมศาสตร์ ทำ เลยเอามาให้ดู



หลายๆท่านที่เคยมีประสบการณ์ในการแต่งบ้าน คงเคยเจอปัญหาที่ไม่สามารถสื่อสารกับ สถาปนิกหรือมัณฑณากร เพราะว่าไม่สามารถที่จะอ่านพิมพ์เขียวหรือ Layout Plan ที่เขาเอามาแสดงให้เราดู พอช่างเฟอร์นิเจอร์เริ่มที่จะทำการตกแต่งบ้านของท่าน ปัญหาก็เริ่มเข้ามา ทำให้เราในฐานะเจ้าของงานต้องมีปากเสียงกับช่างตลอดเวลา สุดท้ายเราต้องให้ช่างเปลี่ยนแปลงงานเพราะว่าออกมาไม่เป็นที่พอใจ แต่มาปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือที่อาศัยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เราสามารถที่จะสร้างภาพของห้องต่างๆ ที่เรามีความประสงค์ที่จะตกแต่ง ออกมาเป็นภาพสามมิติ ทั้งสีและส่วนประกอบต่างของห้อง ก่อนที่เราจะเริ่มจ้างช่างเฟอร์นิเจอร์ ทำให้เราสามารถที่จะแก้ไขการตกแต่งได้แต่เนิ่นๆ ก่อนที่เราจะต้องเสียอารมภ์ไปกับการทะเลาะกับช่าง ภาพสามมิติที่สร้างขึ้นนี้ นักตกแต่งภายในสามารถที่จะแก้ไขทั้งรูปลักษณ์ของเฟอร์นิเจอร์ หรือวอลเปเปอร์ หรือสีที่ใช้ทาภายใน ให้ได้ตามที่ท่านเจ้าของต้องการ ปัจจุบัน จะมีสถาปนิกเพียงไม่กี่ท่าน ที่นิยมใช้เครื่องมือนี้ในการตกลงกับลูกค้า แต่หากเป็นความประสงค์ของลูกค้า ทางสถาปนิกก็ต้องหามาให้

ในฐานะที่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเจอะเจอกับปัญหา ที่ไม่สามารถตรวจพบได้ก่อนที่ช่างเฟอร์นิเจอร์จะมาประมูล และตีราคาของงาน ทำให้ผมต้องตัดเสาไม้ที่สถาปนิกออกแบบมาออกเสีย สี่ต้น เพราะว่าภรรยาของผมรับไม่ได้กับเสาทั้งสี่ต้นนี้ เสียเงินไปพอสมควร และปัจจุบัน เสาทั้งสี่ต้น ได้กลายมาเป็นส่วนเกินของบ้าน คิดเป็นเงินก็อยู่ในราว แสนกว่าบาท

หากท่านไม่ทราบว่า ภาพ Perspectives เป็นอย่างไร ผมขอเรียนเชิญไปชมผลงานของเด็กคณะ สถาปัตย์ แผนกตกแต่งภายใน มหาฯธรรมศาสตร์ ที่ http://perspective-helper.blogspot.com/ ลองไปชมดูนะครับ มันสามารถช่วยท่านให้ประหยัดเวลา และเงินทองได้มากจริงๆครับ

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เมื่อสงสัย...เมื่ออยากรู้...แล้วทำไมไม่ถาม (เรื่องการศึกษา)

สวัสดีครับเพื่อนๆผู้ปกครองของน้องที่กำลังศึกษาอยู่ มีหลายท่านที่มีความสงสัยในเรื่องการศึกษา และได้ส่งคำถามมาหาผม แต่ส่วนมากปัญหาต่างๆนั้น มันเลยช่วงเวลาที่จะวางแผนปฏิบัติไปแล้ว อาทิเช่น การที่มาปรึกษาถึงเรื่องการเอาลูกเข้าโรงเรียนชั้นนำต่างๆ ที่ผมเคยเขียนมาในบทความแรกๆ แต่มาตอนที่เขาสอบคัดเลือกไปแล้ว ผมละจนใจจริงๆ การที่จะให้ผมแนะนำวิธีที่ต้องอาศัยวิทยายุทธ กำลังภายในที่จะไปบีบให้ทางโรงเรียนต้องรับลูกของท่านนั้น ผมค่อนข้างที่จะไม่เห็นด้วย ผมอยากให้ท่านติดต่อเข้ามาแต่เนิ่นๆ ดั่งเช่น ท่านมีลูกอายุประมาณ 3-4 ปี และมีความตั้งใจที่จะเอาลูกเข้าเรียนในโรงเรียนอัสสัมชัญ ท่านควรติดต่อมาแต่เนิ่นคือ ขณะที่ลูกเรียนอยู่ในชั้น อนุบาล 2 เทอมต้น เพื่อให้ท่านมีเวลาในการวางแผน ไม่ใช่ลูกของท่านกำลังเรียนอยู่ในชั้นอนุบาล 3 เทอมต้น แล้วจะไปทำอะไรได้ เพราะว่าเวลานั้น ผู้ปกครองทุกท่านก็กำลังวิ่งเส้นกันอยู่ทั้งนั้น หากท่านเป็นคนธรรมดาที่ ไม่มีคนรู้จักเป็นผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษา หรือเป็นนายกสมาคมศิษย์เก่าของโรงเรียนนั้นๆ ผมว่าท่านต้องมองหาโรงเรียนอื่นได้แล้วครับ โอกาศของท่านจะริบหรี่มาก แต่หากท่านได้พยายามเดินเรื่องแต่เนิ่นๆ มากกว่าคนอื่นเป็นปี ท่านก็จะมีโอกาศที่ดีที่ลูกจะได้รับเข้าเรียน การเตรียมตัวก็มีทั้งการเอาลูกไปกวดวิชา ใช่ครับเด็กอนุบาลก็ต้องกวดวิชาเหมือนกัน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการสอบ

จากนั้นท่านก็ต้องเริ่มดำเนินการสานสัมพันธไมตรีกับทางโรงเรียน โดยการไปช่วยงานต่างๆ ไม่ใช่ส่งแต่เงินไปนะครับ แต่ท่านต้องไปช่วยทำงานในสมาคมผู้ปกครอง โดยการทำในสิ่งที่ท่านถนัด หรือเป็นฝ่ายจัดหาทุน ซึ่งฝ่ายนี้มีหน้าที่หาเงินให้โรงเรียนอย่างเดียว แล้วก็จะเกิดคำถามขึ้นว่า จะทราบได้อย่างไรว่า เมื่อเราได้ไปบำเพ็ญประโยชน์ให้กับทางสถานศึกษาแล้ว เขาจะรับลูกของท่าน ขอตอบว่า ไม่มีการสัญญาใดๆทั้งสิ้น แต่ท่านต้องลงทุนทำสิ่งที่เป็นกุศล เพื่อที่สิ่งนั้นจะได้มาออกผลที่ลูกของท่านครับ ผมอยากเรียนให้ท่านทั้งหลายทราบนะครับว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะศรัทธากับการทำบุญ แต่มีอยู่หลายครั้งที่ผมได้มีโอกาศที่จะทำการกุศล โดยที่ตัวเองไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน คือมีครูต่างจังหวัดมาหาและขอให้ผม ซึ่งไม่รู้จักครูทื่านนี้มาก่อน ช่วยจัดหาอุปกรณ์การเรียน อาทิ ดินสอ ปากกา สมุด ยางลบ เป็นต้น เพราะว่าทางราชการให้มาแต่ตำราการเรียน แต่ไม่ได้ส่งสิ่งของอย่างอื่นมาให้ ผมเห็นว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยจึงให้เด็กไปจัดหามาให้ จากนั้น ทางโรงเรียนก็ได้ส่งจดหมายขอบคุณ แล้วลงลายมือชื่อเด็กมาให้ แค่นั้นผมก็ชุ่มชื่นหัวใจแล้ว แต่คงจะเป็นเพราะผลบุญที่ทำไว้จึงส่งผลให้ บรรดาลูกๆของผมเป็นเด็กเรียนดี ค่อนข้างเก่งทีเดียว ผมจึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า การคิดที่จะทำความดี ไม่มีการการันตีผลตอบแทนหรอกครับ แต่ความดีนั้นๆจะส่งผลบุญมาที่ท่านและครอบครัว ช้าหรือเร็วแล้วแต่บุญกรรมของท่านเองครับ

จากที่พบมา ร้อยละ 90 ที่ท่านผู้ปกครองที่ได้ไปรับใช้โรงเรียนอย่างเต็มใจนะ ลูกมักเข้าได้ครับ

ในบรรดาโรงเรียนที่เข้ายากที่ผมเคยเอ่ยนามไปแล้วนั้น ทุกแห่งจะมีการเปิดประเภทเด็กที่มีอุปการะคุณกับทางสถานศึกษา แต่ว่า โควต้านี้ จะมีอยู่เพียง 10% ของจำนวนนักเรียนที่รับเข้าศึกษา ส่วนมากเด็กของผู้ที่มีชื่อเสียงมักจะได้ก่อน ต่อจากนั้นก็จะเป็นเด็กของพวกคหบดีใหญ่ๆ ต่อจากนั้นก็จะมาถึงท่านที่ช่วยโรงเรียนนี่แหละครับ หลายๆท่านอาจจะรู้สึกท้อแท้ว่า ตัวเองไม่ใช่คนสำคัญ ไม่มีเงินทองมากมาย แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทางโรงเรียนใช่เป็นมาตรฐานวัดว่า เด็กคนไหนถึงเข้าเรียนได้ครับ ความเอาใจใส่ต่อโรงเรียน และความสนใจในการศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งครับ

สิ่งสำคัญที่ท่านผู้ปกครองต้องทำคือ ท่านต้องหาครูที่จะมาเป็นติวเตอร์ให้กับลูกของท่าน ครูที่ท่านจะเลือกต้องมีคุณสมบัติที่เคยติวเด็ก และสามารถสอบเข้าโรงเรียนที่ลูกท่านจะเข้ามาแล้ว การที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าครูมีมากมาย แต่จะมีครูเพียงไม่กี่ท่านที่ คอยติดตามดูการสอบเข้าของโรงเรียนดังๆ และมีการตระเตรียมข้อสอบเก่าๆ เพื่อที่จะให้เด็กทดลองทำ การที่เด็กได้เคยผ่านการฝึกฝนให้ทำข้อสอบแต่เนิ่นๆนั้น ก็ทำให้เด็กไม่ประหม่าเวลาที่เข้าสอบจริง สำหรับเรื่องรายชื่อของครูนั้น ท่านต้องทำการบ้านเองนะโดยการสอบถามจากเพื่อนๆที่มีลูกเรียนอยู่ก่อนแล้ว ครูดีๆหายากครับ ค่าจ้างไม่แพงหรอกครับ ครูเหล่านี้มีความตั้งใจที่จะนำพาลูกๆของเราให้เข้าเรียนในที่นั้นๆได้ แต่ท่านต้องหาให้เจอครับ

ต่อจากนั้นท่านต้องมีการติดต่อกับทางโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ หลายท่านจะถามว่าทำอย่างไร ผมเองก็เคยเจอปัญหาประเภทนี้มาแล้ว และนอกจากลูกของตัวเองแล้ว ยังมีลูกของพี่สาวเอย ลูกของน้องชายเอย ลูกของเพื่อนอีก จนทางโรงเรียนนึกว่าผมมีอาชีพพาเด็กเข้าโรงเรียน เดินเข้าไปทีไรโดนมองหน้าแปลกๆทุกที ตอนหลังพอลูกจบจึงได้เลิกครับ วิธีที่จะเข้าไปติดต่อคือ ท่านต้องไปสอบถามว่า ทางโรงเรียนมีงานโรงเรียนในวันไหนบ้าง ทุกโรงเรียนจะมีวันที่จะจัดงานออกร้าน เพื่อหาทุนต่างๆ และมีการขายบัตรการแสดง มีการจัดแข่งโบวลิ่ง หรือการจัดแข่งแรลลี่ เป็นต้น ท่านต้องหาเวลาพาลูกไปอย่างสม่ำเสมอ และท่านต้องพาลูกไปหาท่านอธิการด้วยนะหรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นอาจารย์ใหญ่ ไปเรื่อยจนกว่าทางโรงเรียนจะจำชื่อคุณได้ครับ















กิบัติไปแล้ว

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ทำไมควรเลือกเรียน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่ม.ธรรมศาสตร์

มีน้องๆหลายท่านที่กำลังอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่า จะเลือกเรียนคณะสถาปัตย์ฯที่ไหนดี ผมอยากขอร่วมให้ข้อมูล เพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของน้องๆทั้งหลายครับ

เมื่อกล่าวถึงภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ น้องทุกท่านก็ต้องคิดถึง มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ นั่นคือ จุฬาลงกรณ จากนั้นก็ต้องเป็น มหาวิทยาลัยเทคโนฯที่ลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยศิลปากร ไม่มีคนคิดถึงชื่อของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องจากคณะนี้เพิ่งเริ่มก่อตั้งมาไม่กี่ปี

ปัจจัยหลักที่น้องหลายๆท่านเลือกจุฬาฯ คือชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย ความเก่าแก่ และการที่มีรุ่นพี่ก่อนๆที่สร้างชื่อเสียงมาในอดีต และอีกปัจจัยหนึ่งคือสถานที่ตั้ง ที่อยู่ใจกลางเมือง ในเมื่อหลายๆปัจจัยเป็นต่อหลายสถาบัน การที่คณะฯจะมีการพัฒนาให้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อเป็นประโยชน์ ในการย่นย่อเวลาของนิสิตในการทำงาน ก็ไมีมี เรื่องนี้ผมทราบมาจากเพื่อนนิสิตของลูกสาว เพราะว่าเนื่องจากบรรดาอาจารย์ที่สอนที่จุฬาฯ เป็นอาจารย์เก่าแก่ที่ทรงคุณวุฒิ การที่ท่านได้ร่ำเรียนมาอยางไรในอดีต ท่านก็จะปฏิบัติอย่างนั้นในปัจจุบัน ขอยกตัวอย่างเพื่อที่จะได้เห็นอย่างชัดเจน ทีธรรมศาสตร์ อาจารย์จะยอมให้นักศึกษาใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการเขียน ภาพเปอร์สเป็คตีพ สามมิติ หากท่านนึกไม่ออกว่าคืออะไร ผมขอแนะนำท่านให้ไปตามโครงการคอนโดมิเนียมต่างๆ เขาจะให้โบรชัวร์ภาพห้องตัวอย่าง หรือภาพตัวอย่างโครงการที่มีต้นไม่ ทางเดิน หรือภาพผู้คนที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ ที่จุฬาฯจะให้นิสิตใช้มือวาดและใช้สีน้ำลง อาจารย์จะไม่สนับสนุนให้นิสิตใช้คอมพิวเตอร์ช่วย ด้วยเหตุผลว่า เมื่อก่อนอาจารย์เรียนมาอย่างไร นิสิตต้องทำตามอย่างนั้น แต่ที่ธรรมศาสตร์ เขาไม่สนใจในวิธีการที่จะได้ภาพมาอย่างไร แต่อาจารย์จะเน้นที่ผลงานของนักศึกษาแทน ซึ่งทำให้น้องๆต้องไปขวนขวายเรียนการใช้โปรแกรมเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้ทำผลงานให้ดีถูกใจอาจารย์ เป็นต้น นี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆที่ลูกสาวได้พบมา เพื่อนร่วมโรงเรียนเก่าสมัยมัธยม ที่เรียนที่จุฬาฯ ได้มาบอกเล่าเรื่องนี้แก่ลูกสาวเอง

ที่จุฬาฯ เวลาว่าง รุ่นพี่จะมีกิจกรรมมาให้รุ่นน้องทำเสมอ ไม่ว่าเป็นการจัดละครเพื่อหาทุนของรุ่น หรือจับน้องวิ่งรอบสนาม หากท่านไปในช่วงเปิดเทอมต้น ท่านจะเห็นทั้งเด็กผู้ชายและหญิงใส่ชุดกีฬาวิ่งเป็นกลุ่มๆ ที่ธรรมศาสตร์ไม่มีเรื่องเช่นนี้ เวลาว่างที่ธรรมศาสตร์ ทุกคนมีอิสระที่จะเลือกทำตามใจตัวเอง ลูกสาวได้ไปร่วมกับวงดนตรีโฟร์คซอง และได้ร่วมซ้อมเมื่อมีเวลาว่าง ไม่มีการบังคับใดๆทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องนี้แตกต่างจากจุฬาฯ เอ......ผมควรที่จะพูดถึงสถาบันอื่นด้วย เมื่อผมเอ่ยชื่อลาดกระบัง คณะสถาปัตย์ จะขึ้นชื่อในเรื่องความเก่งทางด้านการทำแบบโมเดล เนี๊ยบและสมจริง แต่ข้อด้อยของสถาบันนี้คือสถานที่ตั้ง แต่ปัจจุบัน หากท่านคิดว่าไกล ขอให้ท่านคิดถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะว่าที่ตั้งอยู่ติดกัน และมีทางด่วนมอเตอร์เวย์ วิ่งถึง พร้อมทั้งในอนาคตอันใกล้นี้ สายรถไฟฟ้า แอร์ปอร์ตลิ๊งค์ก็จะเปิดใช้ ทำให้ท่านสามารถเดินทางจากมักกะสันได้อย่างสะดวกสะบาย

จากลาดกระบัง ก็ต้องกล่าวถึง มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่นี่มีชื่อเสียงมากทางด้านมัณฑนะศิลป์ แต่เนื่องจาก นักศึกษาปี 1 ต้องไปเรียนที่นครปฐม จึงไม่ค่อยมีผู้สนใจมากเท่าจุฬาฯ ผมยังไม่เคยไปแคมปัสที่นครปฐมเลย แต่ลูกสาวมีเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทกันมาก ไปเรียน และเขาก็ชอบ แต่เรื่องความเข้มข้นของหลักสูตรก็ยังเป็นรองที่ธรรมศาสตร์ โดยดูจากการที่มีการประกวดทางด้านตกแต่งภายใน ประจำทุกปี ที่ลูกสาวไปร่วมแข่งขันตอนที่เรียนอยู่ในชั้นปีที่ 3 แต่เขาไปร่วมแข่งกับเด็กปี4 ของมหาวิทยาลัยอื่น เพราะว่าที่ธรรมศาสตร์มีหละกสูตร 4 ปีในขณะที่มหาวิทยาลัยอืนต้องเรียน 5 ปี เรื่องของการที่ย่นระยะการเรียนขึ้นมา 1 ปีนี้ ผมก็ค่อนข้างกังวลพอสมควร เพราะคิดว่าทาง ธรรมศาสตร์ จะทำการสอนได้ไม่ทั่วถึงเท่าที่อื่น แต่ลูกก็ได้มาบอกว่าที่อื่นนั่นแหละที่เรียนช้า เพราะมัวแต่ไปเน้นวิชาที่เด็กต้องใช้มือในการทำงาน ซึ่งเมือเรามองดูแล้วก็ใช่เลย เพราะว่าในช่วงปีแรกๆ อาจารย์จะให้เด็กฝึกหัดทำแบบจำลอง เพื่อที่จะได้มีความถนัด แต่ที่ธรรมศาสตร์ ไม่เน้นอย่างนั้น แลัลูกได้ไปทราบความจริงเมื่อเขาได้ไปดูงานในต่างประเทศ เขาได้ไปพบเห็นเครื่องมือทำโมเดล 3 มิติที่อเมริกา โดยเพียงแค่เราป้อนข้อมูลต่างๆเข้าในคอมพิวเตอร์ แล้วให้คอมฯสั่งไปยังเครื่องก็อบปี้ ที่เครื่องนี้มีกรรไกรตัดกระดาษอยู่ และสามารถตัดภาพด้านขวางและประกอบออกมาเป็นโมเดล 3 มิติได้ทันที หากท่านงง ท่านสามารถไปตามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แล้วไปดูที่แผนกของเล่น ดูที่ภาพจิกซอร์ ท่านจะเห็นจิกซอร์ 3 มิติที่เมื่อเราต่อเสร็จออกมาเป็นรูปร่างของบ้านหรือปราสาท หรือรูปหอไอเฟลได้เลย นั่นคือทำมาจากเครื่องนี้อย่างไรครับ ดังนั้นการที่จุฬาฯให้เด็กมาฝึกหัดทำโมเดลนั้น ล้าสมัยไปเสียแล้ว ลองคิดดูว่า หากท่านเป็นลูกค้าเจ้าของโปรเจ็กอะไรก็ได้ ท่านจะอยากได้อะไร แบบที่ทำด้วยมือหรือ แบบที่ตัดมาจากเครื่องที่ดูเนี๊ยบไปหมด อีกทั้งความเร็วในการทำก็ต่างกัน สามถึงสี่เท่าตัว

เรื่องต่อ การเรียนที่ม.ธรรมศาสตร์ คณะสถาปัตย์

จากเนื้อความตามที่เล่ามา เมื่อคราวที่แล้ว ผมได้ติดตามสอบถามลูกสาวว่า ทางคณะได้จัดการติดต่อคณะฯอื่น เพื่อที่จะเปิดคอร์สให้นักศึกษาภาควิชา สถาปัตย์ ตกแต่งภายใน ได้ลงทะเบียนเรียน เพื่อที่จะจบหลักสูตร ผลที่ได้รับคำตอบจากลูกสาวคือ คณะได้ติดต่อเรียบร้อยแล้ว และนักศึกษาได้ลงทะเบียนเรียนอย่างถูกต้อง แต่ที่น่าจะนำมาเป็นบทเรียนให้ท่านผู้ปกครองได้ทราบไว้ คือ หากว่าบุตรหลานของท่านประสบปัญหาในการเรียน ไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยอาจารย์ที่สอน หรือจากเจ้าหน้าที่ในฝ่ายอำนวยการ ท่านสามารถนำเรื่องเข้าปรึกษาท่านคณบดีได้ และกรุณานำบุตรหลานของท่าน ที่แต่งตัวอย่างเรีบยร้อย ตามกฎเกณฑ์ของคณะ เข้าไปพบด้วย ท่านคณบดี ได้เรียกลูกสาวข้าพเจ้าไปพบ และได้ทำการสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เนื่องด้วยลูกสาวเป็นเสมือนตัวแทนของแผนกที่เขาเรียนอยู่ หลังจากที่ท่านได้รับทราบถึงความยากลำบากของลูกศิษย์ท่าน ท่านได้เปล่งเสียออกมาอย่างไม่พอใจ และได้ทำการบันทึกเรื่องราวต่างๆที่เหล่านักศึกษาของท่านพบมา ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ในแผนกทะเบียนทั้งสิ้น ท่านคณบดีหาได้ทราบเรื่องไม่ ท่านได้มีความกรุณาให้นักศึกษาเข้าพบพร้อมชี้แจงเรื่องต่างๆ ผมจึงเห็นว่าอย่างน้อยท่านผู้ใหญ่ในองค์กรนี้ ยังมีความยุติธรรมและมีความเอาใจใส่ ต่อความทุกข์และความยากลำบากของนักศึกษา ผมขออนุญาตเอ่ยนามของท่านคือ ท่านศาสตราจารยบ์ ดร. วิมลสิทธิ์ หรยางกูร ท่านคณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และการผังเมือง มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์และการเมือง


ผมขอกล่าวขอบพระคุณท่านคณบดีแทนลูกสาว และนักศึกษาอีก 29 คน ที่ท่านได้ใช้เวลาในการแก้ไขปัญหา และหาทางออกที่ทุกคนมีความสุขครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ใครคิดจะไปเรียนที่คณะสถาปัตย์ ม.ธรรมศาสตร์ โปรดอ่าน

สวัสดีครับเพื่อนๆและผู้ใฝ่รู้ทุกท่าน




วันนี้ผมไปที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิิต เพราะได้รับทราบจากลูกสาวที่เรียนอยู่ที่คณะสถาปัตย์ ว่าไม่สามารถลงเรียนในวิชาที่คณะกำหนดไว้ ซึ่งเป็นวิชาเลือกเสรีบังคับ ผมอ่านแล้วก็งงเหมือนกันว่า ในเมื่อเป็นวิชาเลือกเสรีแล้ว ทำไมคณะต้องบังคับด้วย แต่นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญ เรื่องที่สำคัญคือลูกสาวของผมและเพื่อนร่วมชั้น กำลังเรียนอยู่ในเทอมสุดท้ายซึ่งเหลือวิชาที่ต้องลงอีกไม่กี่วิชา แต่เผอิญมีอยู่วิชาหนึ่ง ที่คณะบังคับให้ลงเพื่อที่จะได้เก็บหน่วยกิตให้สมบูรณ์ แต่มีปัญหาตรงที่ลงทะเบียนไม่ได้ ในเวลานี้ทางมหาฯได้เปิดเรียนมาแล้ว 2 อาทิตย์ และลูกสาวพร้อมเพื่อนๆจะต้องลงทะเบียนให้เสร็จ หากไม่แล้วจะต้องถูกค่าปรับไปเรื่อยๆ เมื่อเทอมที่แล้ว ลูกก็ได้โทรฯหาผมเพื่อปรึกษา เพราะว่าเขาถูกเจ้าหน้าที่ที่ห้องทะเบียน บอกให้ไปถอนวิชาเลือกนี้ออก ด้วยเหตผลที่ว่า ทางต้นสังกัดภาควิชา ไม่อนุญาตให้ลง ทำให้ลูกและเพื่อนไม่สามารถลงได้ ลูกได้ไปสอบถามถึงสาเหตุ ก็ได้ความว่า คณะต้องตามไปจ่ายเงินให้ภาควิชานั้นๆเป็นจำนวนหลายหมื่นอยู่ และได้แนะนำลูกสาวให้ในเทอมหน้าซึ่งก็คือเทอมนี้ เรียกเพื่อนๆให้รวมตัวกันลงในวิชาเลือกวิชาเดียวกัน เพื่อที่ทางคณะจะได้ตามไปจ่ายเพียงครั้งเดียว มาเทอมนี้ลูกสาวได้ปฏิบัติตามและมีเพื่อนๆร่วม 30 คน ที่ตกอยู่ในฐานะเดียวกันได้พยายามที่จะลงทะเบียนในวิชาจิตวิทยา แต่ทางภาควิชาจิตวิทยาได้ปฏิเสท ไม่ยอมเปิดคลาสให้เรียน ลูกสาวในฐานะตัวแทนของกลุ่ม ได้มาติดต่อเจ้าหน้าที่คนเดิมที่แผนกทะเบียน แต่ได้รับคำตอบว่า ให้ไปติดต่อที่ภาควิชาจิตวิทยาเอง ลูกได้ไปปฏิบัติตามแต่ก็ไร้ผล และได้รวมตัวกันลงชื่อนักศึกษาปีที่ 4 ที่พบกับปัญหานี้ ส่งให้กับคณะฯเพื่อให้ทางคณะฯส่งหนังสือไปสอบถามภาควิชาจิตวิทยา แต่มาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ แต่ได้รับคำแนะนำว่า ให้ไปลงในภาคเรียนฤดูร้อน ลูกสาวจึงโทรฯบอกผมเมื่อเช้า


หลังจากที่ได้ทราบถึงความยากลำบากของลูกสาว ผมได้เดินทางไปที่มหาวิทยาลัยทันที เพื่อสอบถามถึงสาเหตุ ผมไปถึงเมื่อเวลา 10.20 น. และได้ตรงขึ้นไปที่แผนกทะเบียนและประมวลผลของคณะสถาปัตย์ หลังจากที่ได้ความประสงค์ถึงสาเหตุ ก็ถูกเชิญให้นั่งรอ ผมก็นั่งรอ เพราะว่าระหว่างนั้นผมได้เรียกลูกสาวให้มาพบ เพื่อให้เขาเป็นผู้เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ผมรออยู่ประมาณ 30 นาที ระหว่างนั้นมีเจ้าหน้าที่อยู่ 2 ท่าน แต่ท่านหนึ่งกำลังยุ่งอยู่กับ การลงทะเบียนของนักศึกษาท่านหนึ่งซึ่งโทรฯเข้ามา แต่เจ้าหน้าที่อีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ใช้คอมพิวเตอร์ดูข่าวซุบซิบเกี่ยวกับดาราไทย อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมอดทนรอจนลูกสาวมาถึง ก็ให้เขาเล่าเหตุการณ์ต่างๆให้ฟังโดยละเอียด จึงลุกขึ้นบอกกับเจ้าหน้าที่ทั้งสองว่า ต้องการพบเจ้าหน้าที่ที่บอกให้ลูกสาวไปลงในเทอมซัมเมอร์ ทั้งสองบอกว่ากำลังมีประชุม ไม่ว่างออกมาพบ ผมว่าหากเป็นเช่นนั้น ผมขอพบท่านคณบดี เพราะผมถือว่าลูกสาวเป็นลูกศิษย์ของท่าน และกำลังเดือดร้อน แต่เขาก็บอกว่าท่านคณบดีกำลังประชุม ออกมาไม่ได้ ต้องให้เสร็จก่อน ระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ก็เดินไปเรียกคนที่เคยคุยกับลูกสาวผมออกมา น้ำเสียงที่พูกกับผมในครั้งแรก ห้วนเป็นแบบมะนาวไม่มีน้ำเลย ผมเลยคิดว่า นี่ขนาดผมเป็นผู้ปกครองที่เสียเงินค่าหน่วยกิตให้คณะ ยังโดนขนาดนี้แล้วบรรดาเด็กๆจะโดนขนาดไหน ผมจึงยืนยันว่าคณะต้องหาทางออก และต้องรับปากว่าลูกและเพื่อนๆต้องได้ลงเรียนในวิชาเลือก และการที่จะให้ไปลงในซัมเมอร์นั้น ผมรับไม่ได้ เป็นความผิดของทางคณะเองที่เขียนหลักสูตรแบบนี้ ทำให้นักศึกษาพบกับความลำบาก การที่ให้เด็กๆไปวิ่งขอร้องภาควิชาอื่นให้เปิดนั้น เป็นการไปแก้ที่ปลายเหตุ ควรจะมามองที่ต้นเหตุคือ ที่คณะสถาปัตย์เอง

ผมได้ยืนยันกัเจ้าหน้าที่อีกครั้งว่า ผมมีความประสงค์ที่จะพบท่านคณบดี และผมหวังว่าท่านจะยินดีที่จะออกมารับฟังปัญหาของลูกศิษย์ ทั้งภาควิชาออกแบบตกแต่งภายใน( Interior Design ) เจ้าหน้าที่ท่านนี้ได้เข้าไปในห้องประชุม และได้ออกมาบอกให้ผมรอ ผมบอกว่าผมจะรออีก 15 นาที เพราะว่าผมได้รอมาแล้ว หนึ่งชั่วโมงครึ่ง และอีกเรื่องคือ ลูกสาวต้องเข้าเรียนในเวลา บ่ายโมงครึ่ง ผมต้องออกไปรับประทานอาหารกลางวันแล้ว หลังอาหาร ผมลองสุ่มกลับมาที่ห้องท่านคณบดี พบว่าท่านยังประชุมไม่เสร็จ แต่เจ้าหน้าที่ได้เชิญให้นั่งรอ ผมรอได้สัก สิบนาที ก็มีเจ้าหน้าที่คนเดิมออกมาบอกว่าประชุมเสร็จแล้ว พอท่านเดินมาเข้าห้องทำงาน ผมเห็นว่าท่านทำหน้าแบบไม่รับแขก และได้ขอเวลารับฟังปัญหากับเจ้าหน้าที่คนนั้น ตามลำพังภายในห้องทำงาน เมื่อท่านรับเรื่องแล้วท่านก็เดินออกมาพบ พร้อมกับพูดว่าไม่เป็นไร วิชาที่ลูกจะเรียนไม่เปิดก็ไม่ต้องไปเรียนมัน ให้เปลี่ยนไปลงในวิชาอื่น ซึ่งลุกสาวก็ตกลง แต่ผมได้ขอให้ท่านคณบดีรับปากว่า เด็กทั้งหมดสามารถลงเรียนวิชาเลือกนี้ได้ และสามารถจบภายในปีการศึกษานี้ ท่านก็รับปากแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก ผมก็ได้เรียนต่ออีกว่าในเมื่อหลักสูตรมันไม่ดี ขอให้ท่านคณบดีเปลี่ยนแปลง และอย่าให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก ท่านก็ได้รับปาก

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ผมเห็นว่าเป็นประสบการณ์ที่บรรดาผู้ปกครอง ควรรับทราบไว้ เพราะว่าเมื่อใดที่ลูกๆของเราตั้งใจเรียน แต่ไม่สามารถที่จะทำได้ตามใจปรารถนา ขอให้ท่านเข้ามาช่วยทำให้เหตุการณ์ต่างๆคลี่คลายไป เพราะว่าบางครั้ง เจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ในสถานที่ต่างคงจะลืมไปแล้วว่า พวกเขาอยู่ได้เพราะว่าคณะมีนักศึกษามาเรียน มิใช่คิดไปว่านักศึกษาเป็นตัวปัญหาที่พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยง หรือพยายามที่จะกำจัดปัญหาให้พ้นๆไป โดยหวังว่าเด็กจะรามือไปเอง ผมเองก็ยังไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดี ผมได้บอกลูกว่า หากเกิดเรื่องอะไรในลักษณะนี้อีก ให้บอกทันที ผมจะได้หาทางทำให้เรื่องจบโดยเร็ว ผมคิดว่าเรื่องทำนองนี้คงจะเกิดขึ่นมากครั้งอยู่ เพียงแต่เด็กๆต้องพยายามหาทางออกด้วยตัวเอง หากท่านใดมีปัญหาทางด้านการศึกษา อย่ารีรอที่จะถามนะครับ ส่งเรื่องมาได้ที่อีเมล์ของผม ยินดีช่วยให้คำปรึกษาหรือไปเป็นเพื่อนท่านได้ทุกเวลาครับ

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Trip to Par-la-u Waterfall

This weekend, I just went to Cha-Am resort town. I have heard about the Par-la-u waterfall for many years but I didn't have time to go and check it out. Par-la-u waterfall is situated on the west of Hua Hin resort town. It is about 60 kilometers straight west from the Hua Hin railway station. If you drive at 100 Km./hr., it will take around 45 minutes. The road condition is quite good but you have to keep an eye to the wild elephants which you can see its dumpling along the way. The waterfall is in very good condition. It is not spoiled by the local vendors.


I guess that not so many people go to visit the waterfall due to the distance posted on the sign that said 60 Km. It might discourage the tourists not to take chance to go there. The waterfall is in the park called as the same name and it has the opening hours. Anyone who is interested to go need to check with the park office in advance because if there is a heavy rain then the park ranger will not allow the tourists to get in......it is very danger because there is no shelter to avoid the flash flood.


I had spent some quality time with my family watching the rare bird and wading in the very cold water. It was a memorable time but it was disrupted by the heavy rain. One caution for the non professional traveler, the last two kilometers to the waterfall, the road is still the gravel and not be paved by the cement or asphalt. If there is a heavy rain, you will have to consider to use the four wheel drive or you can park your car at the bus parking and walk to the waterfall.

I will highly recommend the family to go there and be sure to pack your food because there is no food stall at the waterfall. And to bring the binocular is a must so your company can enjoy watching the nature.

Oh! I forgot to talk about the hotel that I went to stay. It was Holiday Inn, Regent Cha-am. It was very serene and peaceful. The price is moderate and reasonable.


The beach is in superb condition. No garbage and not so many local vendors to hustle us. The sea in the early morning is very calm and you can get a dip with confidence that there will not have any jelly fish to bother. I think the Cha-am resort town is suitable for the tourists and the low budget local traveler. The food in Cha-am is cheaper than Hua Hin around 25%.

That was all for this weekend. I hope all of you who came to visit my blog will enjoy the beautiful photos and to mark your next vacation as the same as I did. Have a healthy and happy time.

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Travel to Thailand most spectacular resort towns...

To get most of my fan out of the recent tension in gold business. I'd like to bring you to visit Thailand most spectacular resort towns. I will start with the city of Pattaya. This city is situated on the south east of Bangkok and will take about one and a half hour drive. Pattaya is the heaven for every person, it has all kind of accommodation starting from the 5 stars down to the city guest house with only U.S.$ 5.00 per night. The only thing that it doesn't have is the gambling house. But you can check out most of the water sport and outdoor sports.

This is the picture of the north Pattaya where all the actions take place. If you don't like this urban atmosphere then you can drive or take a public transport down south a little further. Then you will find the real heaven called Hadd Jomtien just like in this next picture.

In Pattaya, not only sun and sand that you will get as much as you like but also a great number of interesting landmarks such as the Great Buddha inscribed in the mountain side. And Wat Yarnnasankavararam nearby.




Also, if you are not a religious person, there are many attractions for you to explore such as the Mini Siam. The miniature town that has all the great places in the Great Kingdom of Thailand. So stay tune for more information.

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ในเรื่องการศึกษา....ขอให้ตั้งความหวังให้สูง


>




สวัสดีครับบบบเพื่อนๆ หยุดไปหลายวันเพราะมีกิจธุระที่ต้องทำ วานนี้ผมมาตรวจอีเมล์ถึงทราบว่ามีผู้ปกครองหลายท่านที่ได้ส่งคำถาม เกี่ยวกับการศึกษา ผมขอตอบท่านเลยครับว่า ขอให้ท่านและลูกตั้งความหวังให้สูง อย่าคิดว่าเราไม่มีความสามารถ เด็กไทยทุกคนหากมีผู้สนับสนุนและให้กำลังใจ เด็กเราจะสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ การที่น้องจะไปเรียนที่อังกฤษ ในมหาวิทยาลัย อ็อกฟอร์ด หรือ เคมบริด์จ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ครับ ปัจจุบัน ผมรู้จักน้องคนหนึ่งที่กำลังจะเข้าไปศึกษาที่มหาวิทยาลัย อ็อกฟอร์ด น้องคนนี้เป็นนักเรียนโรงเรียนมาแตร์เดอี เมื่อเรียนจบม.6 แล้วก็ไปสอบชิงทุนได้เป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง และปัจจุบันน้องกำลังเรียนซ้ำม.6 อยู่ที่อังกฤษ เพื่อที่จะเตรียมตัวเข้าเรียนต่ิอในระดับมหาวิทยาลัย เท่าที่ทราบมา น้องเขาได้รับการติดต่อจากมหาวิทยาลัย อ็อกฟอร์ด เรียบร้อยแล้วแต่ยังอยู่ระหว่างการเลือกคอลเลจที่จะไปเรียน


มีหลายๆคนที่มักจะมองว่าเด็กไทยไม่มีความสามารถ การที่จะเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยดังๆนั้น เขาไม่มีการสอบเข้าเหมือนกับของเรา แต่เขาจะมีกรรมวิธีในการที่ จะให้ผู้สมัครได้แสดงความสามารถพิเศษ อาจจะมีการเขียนเรียงความ เพื่อที่จะแนะนำตัวเอง ต้องมีผู้แนะนำที่ดี และมี credential ที่มหาวิทยาลัยเขารับรู้ ผมต้องเรียนให้ทราบนะครับว่า มหาวิทยาลัยดังๆของโลก มีคนอยากไปเรียนเยอะมาก ท่านต้องคำนึงถึงว่าคนทั้งโลกอยากจะไปเรียนที่นี่ ท่านไม่เพียงแต่ที่จะแข่งขันกับคนไทยเท่านั้น แต่ท่านต้องแข่งขันกับคนเก่งๆ ทั่งโลก แล้วท่านมีความสามารถพิเศษ อะไรที่ทางมหาฯ จะพิจารณาท่านก่อนคนอื่น ผมขอยกตัวอย่าง ลูกของเพื่อนที่สามารถเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย Stanford เนื่องจากระหว่างที่น้องเรียนอยู่ม.5 เกิดโศกนาถกรรม ซุนามิที่เขาหลัก น้องเขาได้อาสาไปช่วยคนประสบเหตุ จนได้รับบันทึกจากหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ ที่น้องลงไปนั้น เขาไปเป็นล่ามให้เจ้าหน้าที่ของ ยูเอ็น เพราะคนทางใต้ของเราไม่สามารถสื่อสารกับฝรั่งที่เข้ามาช่วยได้ ผลบุญนี้จึงส่งผลให้น้องได้รับเข้าเรียนต่อที่ Stanford University ซึ่งเป็นมหาฯที่ดีเด่นในอันดับต้นๆของโลก นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆที่ เราควรสอนให้ลูกๆได้เข้าใจ มิใช่เด็กไทยเราเอาแต่เรียนและสอบแข่งขันเท่านั้น

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

ฝากด้วย :]

สวัสดีค่ะเพื่อนๆของคุณพ่อไก่ทุกท่าน

ตอนนี้ลูกสาวคนนี้พยายามหาลู่ทาง ฝึกปรือวิชาที่เรียนมาอยู่ค่ะ ที่จริงก็ฝึกมาเป็นเวลาเกือบ 5 เดือนแล้ว แต่ช่วงนี้เกิดอาการฟิตจัดด อยากทำเยอะๆค่ะ ยังไงก็ลองเข้าไปดูผลงานได้นะคะ

รับออกแบบภาพ Perspective สามมิติ ด้วยโปรแกรม 3ds Studio Max

ราคาตั้งแต่ 3,000-5,000 บาท แก้ไขได้ 2 ครั้ง

สนใจติดต่อ (084)003-1118 หรือ (083)546-2808]

หรือทาง www.perspective-helper.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2551

เมื่อวาน ผมได้ไปเล่นกอล์ฟที่สนามกอล์ฟพลูตาหลวง...สัตหีบ



Yesterday, I went with RBSC Golf team to play against the Navy team at Plutaluang Navy Golf Course in Sattaheep. I haven't been there before but many friends of mine warned me about the fairway condition. They told me not to make a deep divot on the fairway because underneath is rock. But that was't true, I found out that the course has a very good condition and there are 4 courses to choose from, North..South East..West. The R.B.S.C. team had received a very warm welcome from the Commander in Chief of the Royal Navy at Sattaheep Navy Base.

This golf team competition has been for 31 years and it is considered one of the oldest of the club.

I'd like to give you a brief picture of this golf course. The course has been well maintained and especially this time of the year that there are plenty of rain, the fairway condition is superb and the green condition is very good. I had seen one of my group mates made a backspin when he hit the ball from the fairway. This was my first time to see a Thai player can do that with my eyes. It was a thrill. One special feature will be the Par-3 hole.

I can say that this hole made most of the R.B.S.C. team lost all of their golf balls. I had lost three balls and made a 10....very embarrassing. It is the green on the water and the landing area is very limited. The drop zone is on the other bank of the green so most of the players lost more balls on this drop zone.


The other feature is the tee off of most of the holes that are elevated above the fairway level. When I said elevated, most of the people can't figure out how much. I will tell you that most of them are about 4 storeys high. So when you tee off, you will be able to see your ball fly off to the fairway below. It really looks professional like in the television set. Anyone who never plays there, I will strongly recommend to take once in your life time to test playing at Plutaluang Golf Course. Anyone who had gone there but not recently, you should consider go there again and see the difference.

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

วันนี้ผมได้ไปประชุมร่วมกับ สศค เรื่อง Gold Future



วันนี้ผมได้มีโอกาศไปร่วมสัมมนากับทาง สศค โดยได้มีการนำผู้เชี่ยวชาญที่ได้ทำการวิจัย ในเรื่องตลาด Future ชื่อ ดร. นงนุช ที่ได้ทุนจากทางหน่วยงานราชการ ให้ทำการวิจัยสมัยที่เธอทำวิทยานิพนธ์ ปริญญาเอกที่ มหาวิทยาลัย York ที่ประเทศอังกฤษ และมีดร.รินใจ ไชยสุต จาก TFEX และ นพ.กฤชรัตน์ จากสมาคมค้าทองคำ รายละเอียดที่เข้าร่วมสัมมนานั้น ก็ไม่มีข้อมูลใหม่มากนัก ส่วนมากก็คือข้อมูลเก่าๆที่เคยนำมาเสนอ ผมทราบภายหลังว่าวันนี้ เป็น Public Hearings ซึ่งหน่วยราชการต่างๆต้องทำให้เป็น mandatory practice เพื่อที่จะนำเสนอต่อสภาผู้แทน ในที่ประชุม ส่วนมากจะเป็นข้าราชการสังกัดหน่วยต่างๆ อาทิ สศค ธนาคารแห่งประเทศไทย กลต ฯลฯ ที่มีจากภาคเอกชนก็มีสมาชิกจากสมาคมค้าทองคำ

ในที่ประชุม มีคุณ พรรณี สถาวโรดม ท่านผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มาเป็นประธาณและท่านได้อยู่จนถึงจบ น่าชื่นชมจริงๆ ที่ท่านเห็นความสำคัญ จากที่ร่วมสัมมนา ผมคงต้องบอกว่า เราคงจะมีการเปิดตลาด ซื้อขายล่วงหน้า ในต้นปีหน้าอย่างแน่นอน ตามที่หน่วยราชการต่างๆบอกวา่าจากที่ทำวิจัยมา ตลาดเงินสดที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะไม่ถูกกระทบ แต่ผมขอยืนยันนะครับว่า ตลาดทองคำของเราจะถูกกระทบอย่างแน่นอน แต่ผมได้แต่หวังว่า จะกระทบอย่างสั้นๆ และไม่ทำให้ลูกค้าหมดความมั่นใจในตลาดทองของเราครับ

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

Jatujak Park...Weekend market

This weekend I just went to Jatujak Park where I haven't set foot in for over 10 years. The transportation,nowadays, is very convenient for every shoppers and if I may suggest to take the MRT(the subway) or BTS(the sky train). To avoid the fight for the parking spaces which are very limited in number and all the hustlers who are looking at the opportunity to get the money from your car, I strongly recommend to take the public transports.
For the sky train, BTS, it will take you about 8 minutes walk to get into the market on the east side but for MRT, the subway, you can enter right into the heart of the market on the west side. Jatujak nowaday is expanding and it will take you more than one full day to explore. The market is divided into several sections. If you need to visit any particular section, just ask anyone there you will get the answer with a smile. The merchandises are in a large variety. It might be a little warm for the western people but there will be many shop that are equipped with air-conditioner. To prepare yourself, you need to bring along a cloth to wipe your sweat and a bottle of water in case you are thirsty.
The market will be the most busy during the weekend, especially on Saturday and Sunday afternoon. If you are going there more than 2 persons than you need to bring along your cell-phone in case you lose your party. In the center of the park, there is a clock tower which in the past you can spot it anywhere around the park but today, the shades and the canvas roof have shielded this landmark from your eyesight.
Most of the merchandises sold here has the reasonable price but you can negotiate. The merchants in the park are keen to sell their products and if the price you offered is not too offensive, you will get your deals and it might be the best deals in town.
During lunch time, there are many food stalls but the cleanliness may not up to the standard of the western people. If you don't want to risk your health with the diarrhea then you may take a bus and travel to the nearest shopping center called Central Lard Prow where you can find a very clean and better service than the one in the park. About the toilet facility, there are several places scattered around the park. You only need to ask any person who works there.
So I just wish all of you a very good time and enjoy shopping at the park.

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

ศิลปนิพนธ์ SENIOR THESIS PROJECT

ขณะนี่เวลา..ตีสองกว่า...ไม่อยากจะบอกตัวเองเลยว่าเวลานี้คือเวลาที่คนปกติทั่วไปเค้าหลับ เค้านอนกันจะหมดประเทศแล้ว


อืม อืมมม


ธีซิส ธีซิสส...สู้เว่ยย!!


ตัวหนูตอนนี้วันๆก็ทำนี่แหละค่ะ ธีซิส หายใจเข้าเป็นเธอ หายใจออกเป็นธอ แม้ว่าบางวันหายใจติดขัดมันก็ย๊างจะเป็นเธออีก ธีซิสจ๋า เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันจนจะเป็นญาติกันอยู่แล้ว(ขอบอกว่าใช้เวลาอยู่ด้วยมากกว่าอยู่กับพ่อไก่ซะอีก-*-)


ต้องขอขอบคุณคณะสถาปัตยกรรมและการผังเมืองของธรรมศาสตร์ ที่มีหลักสูตรการเรียน 4 ปีจบ ตัวหนูจึงได้มีโอกาสได้ลองรับมือกับ"ธีซิส"คนแรกของบรรดาเพื่อนผองที่เอนท์เข้าพร้อมกันทั้งหลาย(คณะสถาปัตย์ทั่วไปต้องเรียน 5 ปีค่ะ) ธีซิสนี้อาจารย์เค้าเปิดกว้างค่ะ โจทย์คือคุณเลือกมาเลยว่าจะศึกษาอะไร โดยมีคำแนะนำ(ปนขู่)ว่า คุณๆหน่ะต้องกลั่นกรองหัวข้อที่ต้องการจะทำให้ดีๆนะ เพราะพวกคุณจะต้องใช้เวลากับมันทั้งปี..บรื้ออ ประมาณว่าเลือกไม่ถูก ช้ำใจกล้ำกลืนไปจนตาย แถมมีสิทธิ์จะไม่จบเอาด้วย ตัวหนูใช้เวลาเรียบเรียงความชอบของตัวเองเกือบเดือน เขียนรายการหลายๆสิ่งที่ชอบทำ ชอบดู ชอบไป


เขียนรายการออกมาได้เกือบร้อยข้อ สุดท้ายหนูเลือกทำ "สถานีรถไฟหัวลำโพง" หนูชอบสถาปัตยกรรมสมัยร.5-ร.6 หนูชอบสถานที่สาธารณะ หนูชอบ ความเป็นคลาสิกของสถานที่..


...เอาจริงๆนะคะ หนูชอบเพราะตอนเด็กคุณแม่เคยพาไปเชียงใหม่ โดยขึ้นรถไฟตู้นอนไป ความรู้สึกตอน 8 ขวบมันเป็นอะไรที่ลืมไม่ลง สถานที่อะไรใหญ่ชะมัด แถมการได้นอนบนเตียงที่วิ่งอยู่บนรางได้..สุดยอดจริงๆ


ใช่ค่ะ แค่นั้นจริงๆ


ใช่อีกแหละค่ะ เพราะเหตุผลเด็กๆของหนูในวินาทีนั้น มันทำให้หนูนั่งอดหลับ อดนอนมาเป็นเวลา 2 - 3 เดือน ไปสถานที่จริง อ่านหนังสือ หาประวัติ ทำความเข้าใจกับ "คุณหัวลำโพง" ของหนู ตอนนี้ตัวหนูได้รู้จักกับคุณหัวลำโพงก็เกือบสนิทแล้วมั้งคะ อยากพาเอาคุณหัวลำโพงไปทำความรู้จักกับอาจารย์ และก็หวังว่าอาจารย์ทุกท่านจะชอบในตัวคุณหัวลำโพงอย่างที่ตัวหนูชอบบ้างจัง


......สาทู้

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ทองคำคืออะไร.....ทำไมถึงมีคนต้องการ



ทองคำเป็นโลหะชนิดหนึ่ง มีสีเหลืองและมีความแวววาว ทั้งๆที่ทองคำมีจำนวนมาก และเป็นสินแร่ที่มีกระจายไปทั่วโลกในทุกภูมิภาค คุณค่าน่าจะมีความหมายน้อย เมื่อเปรียบกับเกลือที่มีเป็นจำนวนมาก และมีราคาที่ถูก แต่ไม่เป็นเช่นนั้น คำถามที่ว่าทำไมมนุษย์จึงอยากหามาครอบครอง หากท่านติดตามอ่านไปเรื่อยๆท่านจะเข้าใจ
ทองคำ หรือ Aurum ซึ่งมีคำแยกตามมาว่า Aura แปลว่าแสงที่เปล่งประกายออกมา นี่คือคุณสมบัติแรกของทองคำ การที่ทองมีคุณสมบัติพิเศษคือ มีสีเหลืองอร่าม และไม่มีการเปลี่ยนรูป มีความแวววาว ทำให้มนุษย์นิยมนำมาเป็นเครื่องประดับ หรือนำมาเป็นเครื่องใช้ในแวดวงชั้นสูง การบุคคลที่มีสถานะเป็นผู้นำมีความชอบในทองคำ ทำให้มีการประพฤฒิและปฏิบัติตาม จึงเกิดการออกตามหาทองคำ เพื่อที่จะสนองความต้องการของผู้นำ หรือกษัตริย์ ดังเช่นในยุคก่อนคริสต์กาล


ภาพที่นำมาแสดง เป็นเครื่องประดับของคนชั้นสูงในสมัยอียิปต์โบราณ เราจะเห็นว่า บุคคลชั้นสูงมีความต้องการในทองคำอย่างมาก เพื่อที่จะเอาไว้บำเรอความสุขของตัวเอง นอกจากเป็นเครื่องประดับแล้วยังนำมาใช้เป็นเครื่องใช้อาทิ เก้าอี้ ถ้วย จานต่างๆ

หรือนำมาประดับพระศพของกษัตริย์ อย่างที่มีการขุดพบในอียิปต์ และในยุโรป สมัย มาซีโดเนีย ดังภาพที่นำมา

เราจะสรุปได้ว่าทองคำถูกนำมาสู่มนุษย์ด้วยคุณลักษณะทางกายภาพของมัน แต่ในทางที่จะนำมาเป็นประโยชน์แก่การดำรงชีวิตนั้น ทองคำไม่มีค่าใดๆเลย ทองไม่สามารถนำมาประกอบอาหารได้ ไม่สามารถนำมาเป็นเครื่องนุ่งห่มได้ เป็นยารักษาโรคไม่ได้ และสุดท้าย ไม่สามารถนำมาเป็นที่อยู่อาศัย แล้วทำไมมนุษย์จึงมีความคลั่งไคล้ต่อโลหะทองคำนี้นัก ผมจะนำท่านเดินทางข้ามเวลาต่อมาสู่สิ่งที่มนุษย์ได้สมมุติขึ้นมา แล้วทำให้คนบนโลกนี้ ต้องทำสงครามต่อสู้กัน และมุ่งแต่แสวงหาสิ่งที่เรามีความเชื่อว่าเป็นสิ่งวิเศษ ในปี700 BC หรือคือในยุคหลังจากอียิปต์โบราณ ประมาณ 4000ปี ได้มีการคิดค้นการผลิต เหรียญทองคำขึ้นในแถบยุโรปตะวันออกใกล้กับ เอเชียไมเนอร์ เหรียญที่ผลิตออกมานี้ ผู้ผลิตมีความตั้งใจในตอนแรกที่จะใช้เพื่อความสุขของตัวเอง แต่ต่อมาได้ถูกนำมาใช้เป็นตัวกลาง ในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าซึ่งกันและกัน ประวัติของการผลิตเหรียญทองคำนี้ มีเรื่องเล่ากึ่งนิทานผสมเทพนิยายดังผมจะเล่าในต่อไปนี้;
ผู้ที่มาเล่าเรื่องที่น่าสนใจนี้คือนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกชื่อดัง Herodotus ที่มีอายุอยู่ในช่วง 500 BC เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อราวปี 700 BC มีเมืองหนึ่งชื่อ Lydia อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง Phrygia กินอาณาเขตอยู่ใกล้กับทะเล Aegean และ Asia Minor เมืองลิเดียนี้มีกษัตริย์ปกครองที่สามารถสืบเชื้อสายย้อนไป 22 ชั่วคนมาจาก เฮอร์คิวลิส กษัตริย์ที่จะกล่าวถึงมีชื่อว่า แคนดอเลส ซึ่งรักภรรยาแสนสวยของเขามาก แต่ด้วยความชอบที่จะโอ้อวดและชอบแสดงให้คนอื่นอิจฉา มีวันหนึ่ง แคนดอเลสได้พาทหารคนสนิท ชื่อ ไกกิส มาแอบดูราชินีของตนเองอาบน้ำ แต่ราชินีสืบทราบถึงเรื่องนี้จึง มีความไม่พอใจ ได้เรียก ไกกิสเข้าเฝ้า และยื่นข้อเสนอว่า การที่มีชายใดเห็นร่างกายของราชินีจะต้องโทษประหาร หรือไม่ก็ต้องแต่งงานกับเธอเสีย แน่นอน ไกกิสต้องเลือกข้อหลังแน่นอน จึงได้กระทำการโค่นราชบัลลังค์ของ แคนดอเลส และปราบดาขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่ชาวเมืองเกิดความไม่พอใจ จึงได้มีการหารือไปยังผู้เฒ่าที่รอบรู้ ให้กล่าวคำทำนายถึงอนาคต จากการที่ได้รับของกำนัลมีค่ามากมาย ผู้เฒ่าได้ให้คำทำนายที่เป้นผลดีแต่ได้กล่าวเตือนไว้ว่า จากการที่ ไกกิส ได้สังหาร แคนดอเลส ผลกรรมจะไปเกิดที่กษัตริย์ในราชวงศ์รุ่นที่ 5 จากนั้นมาเมืองลิเดียก็ได้มีความเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงยุคที่ 5 ของราชวงศ์ มีกษัตริย์ชื่อ Croesus กษัตริย์องค์นี้ไม่เก่งทางด้านรบเหมือนกับองค์ก่อนๆ แต่พระองค์มีความเชี่ยวขาญทางด้านเศรษฐศาสตร์มาก ท่านได้เล็งเห็นว่าการที่อาณาจักรของท่านจะขยายตัวได้นั้น ท่านต้องมีการสร้างระบบของเงินตราให้เป็นที่ยอมรับ ท่านจึงได้นำเอาระบบเงินเก่าๆที่บรรพบุรุษของท่านมาปรับปรุง ท่านได้เอาบรรดาสิ่งที่ชาวเมืองใช้เป็นตัวกลางเรียกว่า elector ที่เป็นส่วนผสมของเงินและทองคำ มาหลอมและสกัดให้เป็นทองบริสุทธิ์ และมาตีแผ่เป็นเหรียญ โดยจะมีรูปของ สิงห์โต และวัว อยู่บนหน้าเหรียญ และด้านหลังจะมีรอยตีตราอยู่

แต่คำทำนายเรื่องความล่มสลายของอาณาจักร ก็ได้กลับมาหลอกหลอน ครีซัส จึงได้มีการส่งคนออกไปสืบหาผู้รู้ในอาณาจักร โดยให้ทหารที่ออกไปตามหาถามบรรดาผู้รู้ด้วยคำถามเดียวกันว่า ในวันที่มีการนับอย่างแม่นยำว่า กษัตริย์ครีซัสเสวยอะไรอยู่ มีอยู่คนหนึ่งที่ตอบได้ตรงกับที่ครีซัสเสวยคือ เขาตอบว่า ครีซัสจะเสวยซุปที่ทำจาก เต่ากระดองแข็ง และต้มรวมกับเนื้อแกะในหม้อบรอนซ์..จากนั้น ครีซัสได้พยายามติดสินบนให้กับผู้เฒ่าพยากรณ์ โดยมีการส่งของกำนัลเป็นทองคำในรูปแบบต่างๆ ทำให้ผู้เฒ่าพยากรณ์มีความพึงพอใจ ในครีซัส และได้ถามครีซัสว่า อยากให้ทำนายอะไร ในช่วงนั้น อาณาจักรเปอร์เซียกำลังรุ่งเรือง และเป็นเสมือนหอกที่คอยทิ่มแทงอาณาจักรของครีซัส ครีซัสจึงอยากทราบว่าหากทำสงครามกับเปอร์เซีย จะสามารถมีชัยเหนือเปอร์เซียได้ไหม ผลก็คือครีซัสได้คำพยากรณ์ที่พอใจมาก คือผู้เฒ่าทำนายว่าอาณาจักรใหญ่จะล่มสลาย ครีซัสจึงเกณฑ์ผู้คนแล้วยกเข้าทำสงครามกับเปอร์เซีย ผลก็ได้ตรงตามคำทำนายของทั้งสองคำพยากรณ์ คือสมัยที่ ต้นรัชกาลของ ไกกิส มีคำทำนายแล้วว่าในรุ่นที่ 5 จะเสียอาณาจักร ก็เป็นจริงว่า ครีซัสได้พ่ายแพ้แก่เปอร์เซียอย่างราบคาบ และตรงตามคำทำนายของผู้เฒ่าพยากรณ์ ว่าอาณาจักรใหญ่จะล่มสลาย แต่กลับกลายเป็นอาณาจักรของครีซัสเสียเอง


จากนั้นมาอีกกว่า 200 ปี ในปี 280 BC ได้มีกษัตริย์หนุ่มจากเมืองมาซีโดเนีย ชื่อ อเล็กซานเดอร์ ได้มีความสามารถที่จะทำสงครามแผ่ขยายอาณาเขตออกไปไกลถึง อินเดีย และลงไปถึง แอฟริกา ทำให้ต้องมีระบบเงินตราที่ใหญ่พอ เพื่อที่จะทำให้การค้าขายในอาณาจักรไม่ติดขัด แต่เนื่องจากได้ระบบเงินตรามาจากพระบิดา กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ซึ่งได้มีการทำเหรียญทองโดยได้อิทธิพลมาจากยุค กษัตริย์ครีซัส แต่บนเหรียญด้านหน้า จะมีการประทับตรารูปของ ซูส และด้านหลังจะเป็นรูปสิงห์โต และพอมาถึงสมัยของ อเล็กซานเดอร์ ท่านได้เปลี่ยนด้านหน้าจากซูสมาเป็น เฮอร์คิวลิส ซึ่งมีภาพคล้ายกับ อเล็กซานเดอร์

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สิ่งกังวลใจที่มีอยู่ในพ่อแม่ที่คิดจะส่งลูกไปนอก

ผมได้มีโอกาศสนทนากับผู้ปกครองหลายท่าน และได้ทราบถึงความกังวลที่มีอยู่ในใจของท่านเหล่านั้น ผมจึงอยากที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้อง มิใช่สิ่งที่เขาเล่ากันมาหรือเพื่อนไปเห็นมา ในฐานะที่ผมเคยเป็นประธานนักเรียนไทยของมหาวิทยาลัยที่อเมริกา


ข้อแรกที่ พ่อแม่จะกังวลเมื่อคิดจะให้ลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ คือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ยิ่งถ้าลูกเป็นลูกสาวด้วยแล้ว ความซีเรียสจะทวีคูณเป็นหลายๆเท่า ผมอยา่กบอกให้ทราบว่า ในทุกๆที่แม้แต่ในกรุงเทพหรือที่เชียงใหม่ โอกาศที่เด็กจะเกิดเหตุร้ายนั้นมีเท่าๆกัน แต่ที่เราจะต้องใส่ใจคือ ผู้รักษากฏหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ และยุติธรรมแค่ไหน ผมขอยืนยันว่า ประเทศอเมริกาหรืออังกฤษ ตำรวจและยามประจำมหาวิทยาลัย ถือเอาความปลอดภัยของเด็ก เป็นเรื่องใหญ่มากๆ โดยที่เขาจะไม่ดูว่าเด็กนั้นเป็นชาติอะไร ผมเคยถูกเรียกตัวในเวลาดึกดื่น เกินเที่ยงคืน จากผู้ดูแลนักเรียนของมหาวิทยาลัย เพื่อที่จะให้ผมจัดการไปรับนักศึกษาไทยท่านหนึ่ง ที่พบกับปัญหาเรื่องการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมือง เนื่องจากคนเอเซียจะมีหน้าตาที่ฝรั่งเขาดูอายุไม่ออก เลยคิดว่าพวกเราเป็นเด็กมัธยม ทั้งๆที่เป็นนักศึกษาปริญญาโท เวลาออกไปเที่ยวกลางคืนต้องจำไว้ว่า เราจะต้องพกพาบัตรประจำตัวที่มีวันเดือนปีเกิดไปเสมอ ผมต้องไปที่พักของคนไทยคนนั้น แล้วไปนำพาสปอร์ตมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูว่า เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายที่พกพาเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะเห็นได้ว่าผู้บังคับกฎหมายของเขามีความเที่ยงธรรมมาก

ข้อที่สอง ความกังวลที่ได้ยินมาว่า การไปเรียนเมืองนอก เป็นของที่เด็กไม่เก่งและไม่สามารถเรียนในมหาวิทยาลัยในประเทศได้ นี่ก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ โดยมีข้อพิสูจน์ว่า บรรดานักเรียนที่เรียนเก่งและสอบได้รับทุนรัฐบาลไทย เลือกที่จะไปเรียนต่ิอที่ต่างประเทศ แทนที่จะเรียนในประเทศไทย อีกทั้งในอดีต บรรดาลูกท่านหลานเธอ ต้องเดินทางไปเรียนยังต่างประเทศกันทั้งนั้น หากในเมืองไทยการศึกษาดีกว่าต่างประเทศแล้วไซร้ ทำไมต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียน เหตุผลง่ายๆก็คือ ที่โน่นมีระบบที่ดีกว่านั้นเอง การศึกษาในประเทศที่ไม่พัฒนาทั้งๆที่เครื่องไม้เครื่องมือ และอาจารย์ที่เรียนจบกลับมาสอนก็มีอย่างเพรียบพร้อม เนื่องจากว่าในระบบยังมีผู้บริหารที่เป็นเหมือนเต่าล้านปี และมีความเข้าใจว่า ครูเป็นบุคคลที่ควรเคารพบูชา ไม่เหมาะสมที่นักเรียนหรือนักศึกษาจะไปตั้งคำถามท้าทาย หรือตั้งสมมติฐานว่าที่ครูสอนมานั้นผิด ท่านผู้ปกครองที่มีลูกฉลาด คงเคยได้รับฟังจากลูกบ้างว่า เขาเรียนไม่รู้เรื่อง และเขาไม่สามารถที่จะถามครูในห้องได้ เพราะโดนครูด่าว่า ทำไมถึงมีปัญหามากนัก คนอื่นในห้องไม่เห็นมีใครมีปัญหาเลย หรือบางทีก็บอกว่าลูกที่ตั้งคำถาม กำลังไปเบียดเบียนเวลาของนักเรียนคนอื่นอยู่ ให้ถามตอนสอนเสร็จ แต่พอครูสอนเสร็จ กลับไม่ให้โอกาศได้ถาม อย่างนี้ในประเทศเราจึงเกิดโรงเรียนสอนพิเศษขึ้นอย่างมากมาย และประสบความสำเร็จอย่างมากด้วย
ในต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกา โรงเรียนและครูจะให้ความสำคัญกับความคิดของเด็ก เพราะเขามีความเชื่อว่า เด็กทุกคนมีศักยะภาพที่จะเติบโตขึ้นเป็น นักคิด นักเขียน หรือนักวิทยาศาสตร์ ครูจะต้องทำหน้าที่เสมือนโค้ช มิใช่ทำหน้าที่เหมือนแม่พิมพ์ เพราะหากเป็นแม่พิมพ์ ที่ครูทำได้ดีที่สุดก็คือ ทำให้เด็กสำเร็จออกมาได้ดีเท่าครูเท่านั้น เนื่องจากสิ่งที่ออกจากแม่พิมพ์ใดๆก็ตาม ไม่มีทางที่จะดีไปกว่าต้นแบบ หรือแม่พิมพ์นั้นๆ แล้วเด็กของเราจะเจริญขึ้นไปได้อย่างไร ในต่างประเทศ ครูจะให้เด็กๆได้ออกความคิดเห็น โดยไม่อนุญาตให้มีการลอกความคิดกัน แต่ครูเขาจะไม่มีการหัวเราะดูถูกเด็กว่าสิ่งที่เขาคิดมานั้น ดูโง่เง่าหรือดูไม่พัฒนา แต่เด็กจะต้อง defend ความคิดนั้นๆด้วยเหตุผลที่เขาเชื่อมั่น

ข้อที่สาม ความกังวลว่าหากลูกไปเรียนนอกแล้ว เขาจะไปติดนิสัยของคนชาติตะวันตกมา เรื่องนี้มักจะเป็นคำถามที่กวนใจมาก เพราะว่าลูกของท่านจะเป็นหรือไม่นั้น อยู่ที่ท่านเลี้ยงดูสอนสั่งมาแต่เล็กอย่างไร ถ้าท่านมีความรักและครอบครัวที่อบอุ่น ลูกของท่านก็จะไม่น่ามีปัญหา และอย่าลืมว่า ตอนที่เราส่งลูกไปเรียนนั้น เขายังเป็นแค่เด็กชาย เมื่อเขากลับมา ลูกของท่านจะมีคำว่านายนำหน้า ดังนั้นท่านต้องปฏิบัติกับเขาอย่างที่เขาเป็นผู้ใหญ่ มิใช่ไปติดภาพตอนที่ลูกกำลังเดินทางไป แล้วไปปฏิบัติกับเขาอย่างนั้น การที่เราสามารถเลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ที่ผมว่าผู้ใหญ่นี้ มิใช่ตัวใหญ่นะ แต่มีความหมายว่ามีความคิดเป็นผู้ใหญ่ และรู้จักว่าตัวเองต้องทำอย่างไร รู้จักคิดเป็น รู้จักค่าของเงินแลัรู้จักหาเงินใช้เอง นี่สิครับคือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่ ผมต้องปรบมือให้ มิใช่ใบปริญญาหรือคำว่าเกียรตินิยมตามต่อท้ายมา สิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยงแท้ เท่ากับความคิดที่ลูกจะได้รับมา และการที่ทำตนให้เป็นประโยชน์ของสังคม และต่อครอบครัว การรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้ที่มีพระคุณ นี่เป็นสิ่งที่สูงสุดในความคิดของผมครับ อาจจะมีหลายๆท่านที่เคยมีประสบการณ์ที่เมื่อ ลูกกลับจากต่างประเทศแล้ว เวลาพูดอะไรกับเขา จะได้รับการกระทำที่เชื่องช้า คล้ายกับว่าเขาไม่เคารพเหมือนตอนที่ลูกยังเล็กอยู่ จึงไปกล่าวหาว่าเป็นเพราะ ลูกได้เอานิสัยของพวกฝรั่งตะวันตกมา
มีตัวอย่างอยู่หลายๆอันที่ ผมสามารถยกมาเล่าให้ฟัง ทางฝั่งตะวันตก เขาจะมีวัฒนธรรมอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อลูกอายุครบ 18 ปี พวกเขาจะถึงเวลาที่จะออกไปหาที่อยู่ใหม่ ส่วนหนึ่งจะไปเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ซึ่งต้องมีการย้ายออกจากบ้านไปอาศัยในหอพัก หากพวกเด็กไม่เลือกที่จะเรียน พวกเขาก็อยากออกไปทำงานหาเงิน เมื่อมีรายได้ เขาก็จะย้ายออกจากบ้าน เปรียบเสมือนลูกนกที่โตแล้ว ต้องออกไปหาที่ทำรังใหม่ วัฒนธรรมนี้ คนไทยจะไม่รู้สึกคุ้นเคย และคิดเสมอว่า ลูกจะต้องอยู่ในบ้านที่พวกเขาโตขึ้นมา แล้วเวลาพ่อแม่แก่เฒ่า จะได้อาศัียพึ่งพิง แต่ฝั่งเขาจะมีความคิดว่า หากลูกไม่ยอมออกไปอาศัยข้างนอก หรือแยกบ้านออกไป ลูกๆพวกนั้นจะเป็นพวกไม่เอาไหน เป็นพวกลูกแหง่ ไม่โตเป็นผู้ใหญ่ พ่อแม่ของเขาอาจต้องอาศัยบรรดาจิตแพทย์ กันทีเดียว นี่เป็นการยกตัวอย่างที่ท่านผู้ปกครองต้องนำมาพิจารณา หากลูกเรามีพฤติการณ์อย่างนี้ เราก็เพียงแค่พูดให้เขาเข้าใจถึง รายได้และรายจ่ายที่จะต้องเกิดขึ้น หากเขาคิดจะออกไปอยู่ข้างนอก ผมมั่นใจว่าลูกเป็นคนฉลาด และสามารถคิดคำนวนได้ว่า อย่างไหนจะ productive มากกว่ากัน

ข้อที่สี่ และผมว่าบทความมันเริ่มจะยาวเกินไปแล้ว เลยขอเป็นข้อสุดท้ายในตอนนี้ เรื่องยาเสพติด เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กังวลใจของท่านผู้ปกครองกันมาก เพราะว่าการที่ลูกอยู่ไกลหูไกลตา ความเป็นห่วงก็มีมากขึ้น จากที่ลูกได้ไปเรียนในโรงเรียน Boarding School ที่ต้องอยู่แบบประจำนั้น โรงเรียนเหล่านี้เขามีชื่อเสียง เพราะว่าเปิดมานานมาก เรื่องของการที่เด็กจากที่ต่างๆ เข้ามาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ก็แน่นอนจะต้องมีดีมีไม่ดี แต่มาตรการของที่นั่นเข้มและไม่อ่อนให้ใคร หากมีการจับได้ว่าเด็กมีการใช้ยาเสพติด เอาแค่สูบกัญชา เด็กคนนั้นก็ถูกไล่ออกทันที และยังมีการเชิญผู้ปกครองมาตำหนิ และถูกแบล็กลิสต์อีก ว่าคราวหน้าจะไม่สามารถเอาเด็กคนอื่นมาเข้าเรียนได้ มีอยู่กรณีหนึ่งซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆคือ เนื่องจากลูกผมเล่นเทนนิส และติดทีมของโรงเรียน แต่เป็นแค่ตัวสำรอง มีตัวจริงที่เล่นได้ดีกว่า และตัวจริงนี้มีอันดับอยู่ใน Junior Ranking ของประเทศสหรัฐ มีอยู่ครั้งหนึ่ง โรงเรียนต้องไปแข่งที่ต่างเมือง ไกลพอควรจากเมืองที่อยู่ พอไปถึงต้องไปรอเพราะว่าฝนตกหนัก เลยต้องย้ายสนามแข่ง พวกเด็กตัวทีม ไม่ค่อยอยากเล่นเพราะว่าจะมีการสอบ และอยากกลับมาทำงานที่อาจารย์สั่งไว้ พอถึงเวลาแข่งขัน ตัวจริงก็ลงแข่งแต่เล่นแบบไม่เต็มใจเล่น แกล้งทำให้ทีมแพ้ จะได้กลับเร็วๆ ทีมเจ้าบ้านที่เป็นคู่แข่งขันโดยอาจารย์ใหญ่ ไม่พอใจกล่าวหาว่าโรงเรียนของลูกไม่มีน้ำใจนักกีฬา และได้โทรฯกลับมาต่อว่าอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนลูก ผลคือนักกีฬาที่ลงแข่งขันในวันนั้นโดนไล่ออกจากโรงเรียนด้วยข้อหา Unsportman Conduct ทำให้นักเทนนิสมือหนึ่งที่กำลังจะจบและได้ทุนไปเรียนที่ Princeton University ต้องหลุดจากทุนการศึกษา ดูครับ ฝรั่งเขาซีัเรียสมากเกี่ยวกับการเป็นคนที่มีคุณภาพของเด็กของเขา ลองนี่เป็นประเทศไทยซิ คงมีคนออกมารับและยกโทษให้นักเทนนิสไปแล้ว ทำให้เด็กที่เป็นนักกีฬาคิดว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษ และความรู้สึกนี้จะตามตัวเด็กออกไปเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในสังคม ดังนั้น เด็กที่โตจากต่างประเทศมักจะมีคุณภาพมากกว่าเด็กที่โตในไทย นี่ไม่อาจใช้เป็นข้อสรุปได้นะแต่อาศัยที่ได้พบมาครับ

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ขอแจม



ขอเปล่งเสียงสวัสดีทุกท่าน ไม่ว่าจะอยู่ไกล หรือใกล้! วันนี้ขอจิ้มคีย์บอร์ดแนะนำตัวเองหน่อยนะคะ ตัวหนู เป็นลูกสาวคนโตของพ่อไก่ ก็หนูนี่แหละที่"งมๆ"bloggerกับคุณพ่อ จนร้านทองคุณไก่คลอดตัวออกมา และหนูก็เป็นแฟนตัวยงของบล็อคของคุณพ่อ ไม่รู้ว่าจะยงโย่ยงหยกยังไง แต่อย่างน้อยก็เปิดบล็อคคุณพ่อทุกครั้งที่เปิดคอมพิวเตอร์แหละ
ตัวหนูตอนนี้เรียนอยู่คณะสถาปัตยกรรม สาขาออกแบบตกแต่งภายใน ตอนนี้หนูอยู่หอ ที่จริงก็อยู่มาสาม สี่ปีแล้ว บล็อคของหนูจะเป็นเรื่องอะไรได้ ก็ไม่พ้นเรื่องชีวิตลูกสาวอยู่หอแหละค่ะ เรื่องจะเป็นยังไงในแนวไหน ก็ขอให้ช่วยกันติดตาม มีอะไรก็ส่งคำถามมาได้นะคะ จะไถตัวเองไปหาคำตอบให้ รับรองไม่มีหมกเม็ดชัวร์!!!

นักเขียนหน้าใหม่ ขอกล่าวสวัสดีทุกท่านครับ



หลังจากที่ผมได้เฝ้าติดตามบทความของคุณไก่หรือคุณพ่อของผมมาเสียนาน ตั้งแต่โพสแรก เมื่อเดือนหรือสองเดือนที่แล้ว คุณพ่อได้แชร์ความรู้ต่างๆให้ท่านผู้ที่ติดตามอย่างมากมาย ดังเช่น ความรู้เกี่ยวกับ ร้านทอง เกี่ยวกับการซื้อขายทองในอนาคต และการศึกษาต่อต่างประเทศ ขณะนี้ก็มีผู้ติดตามบล้อกร้านทองคุณไก่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆวัน ผมจึงขออนุญาตคุณพ่อ เพื่อจะเป็นนักเขียนในบล็อกร้านทองคุณไก่เช่นกัน โพสนี้ก็คงจะถือเป็นโพสอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผม ก็อยากจะกล่าวทักทาย สวัสดีผู้อ่านหลายๆคนที่ติดตาม blog ranthongkhunkai ครับ

สำหรับตัวผมสิ่งที่ผมสนใจ หรือจะเขียนนั้น คงจะเกี่ยวกับ การศึกษาต่อในต่างประเทศ ซึ่งตัวผมเองก็มีประสบการณ์โดยตรงในเรื่องนี้ ผมไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา กว่าหกปี ได้มีโอกาสใช้ชีวิตในหลายๆเมืองดังเช่น San Francisco, Philadelphia, Boston, และ Los Angeles (LA) ถ้าผู้อ่านท่านใดอยากจะรู้เรื่องไหนเป็นพิเศษ ก็อย่าลืม comments มาได้นะครับ หรือจะส่งคำถาม หรือข้อคิดเห็นมาได้ ที่ ranthongkhunkai [at] gmail [dot] com ครับ

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Chiengmai, the most romantic city in the north of Thailand


Dear readers. I had visited the city of Chiengmai last month. I fell in love with this city right away. The people of this city is so friendly and their lives seem to be easier than people in Bangkok. I went to Chiengmai because I haven't been there for over 20 years. I'd like to visit the old temples and old buildings which are in the old section of the city. Like all the capital in the past, the inner city will be surrounded by the canal for the defense purpose. You can see the remaining of the ancient wall dated back over 500 years. The temples seemed to be the only kind of buildings that survived the attack from the other nations. I love to stroll in the inner city in the morning. There are many food stalls that we can experience our taste bud.

At night, the street in the inner city became one of the great outdoor market. People will take the side walk as their trading places. Youngsters will come out and use the street to perform their latest songs. Judging from the cost of living, to live in Chiengmai is cheaper than Bangkok for 40%.

If we have more than 2 days to explore the nearby region, I will recommend to travel north of the city toward Chieng Dao cavern. This is an old cavern that had been explored and well maintained by the monks. We will need a local guide to bring us in and out of this cavernous cave. Along the way to the cavern, we can visit the botanical garden and the former residence of the past queen of Rama the V, Chao Dararussmee. The house is over 300 years old and well preserved by the government.




The entrance fee is minimal and all will go to the foundation to preserve the house. In front of the house, there are a couple tree that were planted by the Royal family. The fruit, lygee, was so ripe and it had fallen from the tree but it seemed nobody dare to touch the ripe and juicy fruit. I had asked the officers about this and the answer was it was not right to touch the King's property without any prior consent. So my decision to taste one of this lygee was out of my mind. For your information, Chiengmai is a wonderful city that you must put in your travel book. The period of 3 days will be enough for you to get the essence of the northern of Thailand. The charm of Vieng Ping....the old name of Chiengmai.

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

นวัตกรรมวาณิชย์ กับความคิดของเด็กๆบางคน




วันนี้ผมได้ไปร่วมอบรมเกี่ยวกับ นวัตกรรมทางธุรกิจในชื่อของโครงการ
นวัตกรรมวาณิชย์ ที่คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย มีสิ่งที่ทำให้ผมต้องเอามาเขียนลงในบล็อก เพราะว่าผมเห็นแนวโน้มในเด็ก ที่จะมาเป็นอนาคตของชาติ จึงเกิดความกังวล และอยากให้พวกเราในฐานะคุณพ่อ คุณแม่ หรือว่าที่ในอนาคต ช่วยกันดูแลและอบรมให้เด็กๆมีความนอบน้อมและถ่อมตน

เรื่องของเรื่องคือ ในห้องที่มีการอบรมจะมีเด็กมัธยม 5 จากโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพ เนื่องจากที่คณะเปิดโอกาส ให้ทุกคนสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้ เด็กทั้งหมดนี้ ได้แสดงความคิดเห็นร่วมต่างๆ เหนือกว่าผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมหลายท่าน แต่ระหว่างที่มีการพักเบรก เด็กเหล่านี้จะถือโอกาสเข้ามาสนทนากับอาจารย์และ พิธีกรต่าง โดยได้ยิงคำถามที่เจาะลึก และค่อนข้างเป็นความรู้ที่เฉพาะของท่านเหล่านั้น ผมได้ดูอยู่ตอนแรกๆก็น่าเอ็นดู แต่หลังๆคำถามได้เปลี่ยนไปในลักษณะที่ค่อนข้างก้าวร้าว หรือเป็นการถามเพื่อฉีกหน้าผู้ใหญ่ท่านนั้นๆ คำถามอาทิ ในเมื่อท่านพิธีกรหรืออาจารย์ เรียนจบที่ต่างประเทศแล้วทำไมกลับมาทำงานในประเทศไทย เป็นผม ผมไม่กลับมาให้โง่หรอก จะอยู่ทำงานที่โน่นให้ได้เงินเยอะๆก่อนแล้วค่อยกลับมา หรือหากเป็นอาจารย์บางท่านที่เป็นเด็กทุนรัฐบาล ได้รับคำถามว่า กลับมาทำไม เป็นผม หนีทุนแล้ว ไปทำงานอยู่ต่างประเทศดีกว่า ได้เงินมากๆแล้วค่อยกลับ ผมไม่ทราบว่าทำไมผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้นถึง ไม่ได้อบรมถึงความกตัญญู ต่อแผ่นดินเกิด และมีคำถามที่ผมฟังแล้วสะอึกเลยคือ เป็นผม ..เด็กๆเหล่านั้น.. ผมไม่เอาทุนรัฐบาลไทยไปเรียนหรอก ผมไม่อยากเป็นหนี้รัฐบาล และผมไม่อยากเป็นอาจารย์ เพราะได้เงินน้อย ไม่พอกิน พวกผมอยากทำงานได้เงินเยอะๆ

ความเห็นของผมนะครับ ทำไม่เด็กซึ่งเรียนเก่ง และเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของชาติ ถึงมีความคิดแต่เรื่องเงิน หากพวกเราไม่เปลี่ยนความคิดของพวกเขา เมื่อโตขึ้น ประเทศของเราจะมีแต่คนที่เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเองและคนรอบข้าง บุคคลอื่นๆที่เป็นเพื่อนร่วมชาติจะมีอนาคตอย่างไร หากคนที่เป็นผู้นำเพราะว่าเก่ง มีมันสมองที่จะคิดพัฒนาประเทศ แต่ไม่ใส่ใจในส่วนที่เป็นคนสว่นมากของประเทศ ผมไม่ได้กล่าวหานะครับว่า เงินเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ว่าการที่เราให้ความสำคัญว่าเงินมีค่ามากกว่าค่าของคนนั้น มันอันตรายต่อความมั่นคงของชาติมาก หากท่านมีลูกที่มีอายูระหว่าง 18-13ขวบ ท่านลองถามเขาดูว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เมื่อก่อน เราอาจจะได้ยินว่า ผมอยากเป็นตำรวจ อยากเป็นหมอ อยากเป็นพยาบาล แต่มาเดี๋ยวนี้ ร้อยละ 90 จะตอบว่าทำอะไรก็ได้ ขอให้ได้ตังค์มากๆ และรวยเร็วๆ ไม่สำคญว่าโตขึ้นมาแล้วจะเป็นอะไร

ท่านครับขอให้ช่วยสอนสั่งให้เยาวชนของไทย มีความนอบน้อมถ่อมตน รู้จักให้อภัย รู้จักมีมุทิตา คือให้รู้จักชื่นชมต่อความสำเร็จของคนอื่น ไม่ใช่รู้แต่อิจฉาริษยา อยากแต่ให้คนอื่นล้มเหลว จะได้ไม่มีคนมาเป็นคู่แข่ง ประเทศไทยจะได้ก้าวหน้าสู่ความเป็นอารยะประเทศครับ

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ทองแท่งแบบที่ขายปลีกกันอยู่ในโลก


วันนี้อยากขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับทองคำแท่งที่มีการขายอยู่ในโลก ทั้งทางตะวันตก และทางตะวันออก โดยใจความสำคัญที่อยากจะสื่อให้ทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน คือลักษณะการขายของบรรดา dealer ต่างทั่วโลก ภาพแรกที่ผมเอามาให้ชมนั้น คือทองแท่งที่มีน้ำหนัก 1 ออนซ์ ออกโดยบริษัท เครดิตสวิส แต่เขาไม่ได้ขายในราคาทองที่มีการประกาศอยู่ในตลาดโลกหรอกนะครับ เขาจะต้องมีการบวก พรีเมี่ยม หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า ค่าบล็อก การที่ประเทศไทย มีการขายทองแท่ง โดยไม่มีการคิดค่าการตลาด ทำให้ผลกำไรที่ร้านทองต่างๆควรจะได้ มีจำนวนน้อยมาก ซึ่งร้านทองหลายๆร้านเห็นว่าการขายทองแท่งกลายเป็นภาระ แทนที่จะเป็นการสร้างผลกำไรให้กับธุระกิจ ทองแท่งในรูปแบบอื่นที่มีการขาย และสร้างผลกำไรเป็นกอบเป็นกำในตลาดสากล มีในรูปของเหรียญที่มีสัญญลักษณ์ของประเทศต่างๆ แต่เป็นเหรียญที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ และราคาหน้าเหรียญมีราคาต่ำ เพื่อที่จะป้องกันมิให้ผู้ซื้อ ไปขึ้นเงินกับธนาคารของรัฐนั้นๆ
ผมอยากให้มีการสร้างเครือข่าย ของผู้แทนทางการค้า อย่างที่บริษัททองต่างชาติ ได้กระทำอยู่ในเวลานี้ คือท่านร้านทองตามต่างจังหวัด ทำตัวเป็นผู้แทนที่ไดรับอนุญาต จากร้านใหญ่ในกรุงเทพ ให้เป็นผู้แทนที่สามารถรับคำสั่งซื้อ หรือ คำสั่งขายทองคำแท่งในต่างจังหวัดได้ ผู้ที่อยากลงทุนในทองคำแท่งหรือในรูปแบบของเหรียญทองคำที่มี การผลิตในจำนวนจำกัด หรือที่เขาเรียกกันว่า Limited Editions อย่างเหรียญแพนด้าของประเทศจีน หรือ เหรียญอีเกิ้ล ของอเมริกา เขาผลิตออกมาจำนวนจำกัด
สินค้าเหล่านี้ ร้านทองต่างๆสามารถที่จะนำมาจำหน่ายให้ลูกค้า และแนวทางการลงทุนในอนาคตของประเทศไทย คงจะมีการเคลื่อนที่ไปในทิศทางสากล เพราะว่าการที่ร้านทองนำทองคำแท่งมาขายในลักษณะที่ทำอยู่นี้ ไม่ได้มีการเพิ่มคุณค่าของทองคำเลย ลักษณะของตลาดก็จะเป็นแบบ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก หรือแบบที่พวกสายป่านยาวๆจะอยู่ได้นานที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีกำไรมากที่สุดนะครับ แต่จะเป็นผู้ที่ตายช้าที่สุด ร้านทองควรจะต้องเริ่มคำนึงถึงการที่จะเพิ่มคุณค่าให้กับทองคำ มิใช่ไปหาซื้อมาก้อนใหญ่ๆก้อนหนึ่งแล้วมาหั่น ซอยขายเป็นชิ้นเล็กๆ โดยที่ไม่ได้ไปคิดเพิ่มราคาให้เพียงพอแก่ค่าดำเนินการต่างๆ

ผมว่าเราน่าที่จะมาพัฒนาอุตสาหกรรมทองของประเทศไทย ให้เจริญก้าวหน้าให้ทัดเทียมอาณารยะประเทศต่าง ในโลกโดยการเริ่มเดินตามรอยเท้าของประเทศอื่นๆได้แล้ว