วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สิ่งกังวลใจที่มีอยู่ในพ่อแม่ที่คิดจะส่งลูกไปนอก

ผมได้มีโอกาศสนทนากับผู้ปกครองหลายท่าน และได้ทราบถึงความกังวลที่มีอยู่ในใจของท่านเหล่านั้น ผมจึงอยากที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้อง มิใช่สิ่งที่เขาเล่ากันมาหรือเพื่อนไปเห็นมา ในฐานะที่ผมเคยเป็นประธานนักเรียนไทยของมหาวิทยาลัยที่อเมริกา


ข้อแรกที่ พ่อแม่จะกังวลเมื่อคิดจะให้ลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ คือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ยิ่งถ้าลูกเป็นลูกสาวด้วยแล้ว ความซีเรียสจะทวีคูณเป็นหลายๆเท่า ผมอยา่กบอกให้ทราบว่า ในทุกๆที่แม้แต่ในกรุงเทพหรือที่เชียงใหม่ โอกาศที่เด็กจะเกิดเหตุร้ายนั้นมีเท่าๆกัน แต่ที่เราจะต้องใส่ใจคือ ผู้รักษากฏหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ และยุติธรรมแค่ไหน ผมขอยืนยันว่า ประเทศอเมริกาหรืออังกฤษ ตำรวจและยามประจำมหาวิทยาลัย ถือเอาความปลอดภัยของเด็ก เป็นเรื่องใหญ่มากๆ โดยที่เขาจะไม่ดูว่าเด็กนั้นเป็นชาติอะไร ผมเคยถูกเรียกตัวในเวลาดึกดื่น เกินเที่ยงคืน จากผู้ดูแลนักเรียนของมหาวิทยาลัย เพื่อที่จะให้ผมจัดการไปรับนักศึกษาไทยท่านหนึ่ง ที่พบกับปัญหาเรื่องการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมือง เนื่องจากคนเอเซียจะมีหน้าตาที่ฝรั่งเขาดูอายุไม่ออก เลยคิดว่าพวกเราเป็นเด็กมัธยม ทั้งๆที่เป็นนักศึกษาปริญญาโท เวลาออกไปเที่ยวกลางคืนต้องจำไว้ว่า เราจะต้องพกพาบัตรประจำตัวที่มีวันเดือนปีเกิดไปเสมอ ผมต้องไปที่พักของคนไทยคนนั้น แล้วไปนำพาสปอร์ตมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูว่า เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายที่พกพาเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะเห็นได้ว่าผู้บังคับกฎหมายของเขามีความเที่ยงธรรมมาก

ข้อที่สอง ความกังวลที่ได้ยินมาว่า การไปเรียนเมืองนอก เป็นของที่เด็กไม่เก่งและไม่สามารถเรียนในมหาวิทยาลัยในประเทศได้ นี่ก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ โดยมีข้อพิสูจน์ว่า บรรดานักเรียนที่เรียนเก่งและสอบได้รับทุนรัฐบาลไทย เลือกที่จะไปเรียนต่ิอที่ต่างประเทศ แทนที่จะเรียนในประเทศไทย อีกทั้งในอดีต บรรดาลูกท่านหลานเธอ ต้องเดินทางไปเรียนยังต่างประเทศกันทั้งนั้น หากในเมืองไทยการศึกษาดีกว่าต่างประเทศแล้วไซร้ ทำไมต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียน เหตุผลง่ายๆก็คือ ที่โน่นมีระบบที่ดีกว่านั้นเอง การศึกษาในประเทศที่ไม่พัฒนาทั้งๆที่เครื่องไม้เครื่องมือ และอาจารย์ที่เรียนจบกลับมาสอนก็มีอย่างเพรียบพร้อม เนื่องจากว่าในระบบยังมีผู้บริหารที่เป็นเหมือนเต่าล้านปี และมีความเข้าใจว่า ครูเป็นบุคคลที่ควรเคารพบูชา ไม่เหมาะสมที่นักเรียนหรือนักศึกษาจะไปตั้งคำถามท้าทาย หรือตั้งสมมติฐานว่าที่ครูสอนมานั้นผิด ท่านผู้ปกครองที่มีลูกฉลาด คงเคยได้รับฟังจากลูกบ้างว่า เขาเรียนไม่รู้เรื่อง และเขาไม่สามารถที่จะถามครูในห้องได้ เพราะโดนครูด่าว่า ทำไมถึงมีปัญหามากนัก คนอื่นในห้องไม่เห็นมีใครมีปัญหาเลย หรือบางทีก็บอกว่าลูกที่ตั้งคำถาม กำลังไปเบียดเบียนเวลาของนักเรียนคนอื่นอยู่ ให้ถามตอนสอนเสร็จ แต่พอครูสอนเสร็จ กลับไม่ให้โอกาศได้ถาม อย่างนี้ในประเทศเราจึงเกิดโรงเรียนสอนพิเศษขึ้นอย่างมากมาย และประสบความสำเร็จอย่างมากด้วย
ในต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกา โรงเรียนและครูจะให้ความสำคัญกับความคิดของเด็ก เพราะเขามีความเชื่อว่า เด็กทุกคนมีศักยะภาพที่จะเติบโตขึ้นเป็น นักคิด นักเขียน หรือนักวิทยาศาสตร์ ครูจะต้องทำหน้าที่เสมือนโค้ช มิใช่ทำหน้าที่เหมือนแม่พิมพ์ เพราะหากเป็นแม่พิมพ์ ที่ครูทำได้ดีที่สุดก็คือ ทำให้เด็กสำเร็จออกมาได้ดีเท่าครูเท่านั้น เนื่องจากสิ่งที่ออกจากแม่พิมพ์ใดๆก็ตาม ไม่มีทางที่จะดีไปกว่าต้นแบบ หรือแม่พิมพ์นั้นๆ แล้วเด็กของเราจะเจริญขึ้นไปได้อย่างไร ในต่างประเทศ ครูจะให้เด็กๆได้ออกความคิดเห็น โดยไม่อนุญาตให้มีการลอกความคิดกัน แต่ครูเขาจะไม่มีการหัวเราะดูถูกเด็กว่าสิ่งที่เขาคิดมานั้น ดูโง่เง่าหรือดูไม่พัฒนา แต่เด็กจะต้อง defend ความคิดนั้นๆด้วยเหตุผลที่เขาเชื่อมั่น

ข้อที่สาม ความกังวลว่าหากลูกไปเรียนนอกแล้ว เขาจะไปติดนิสัยของคนชาติตะวันตกมา เรื่องนี้มักจะเป็นคำถามที่กวนใจมาก เพราะว่าลูกของท่านจะเป็นหรือไม่นั้น อยู่ที่ท่านเลี้ยงดูสอนสั่งมาแต่เล็กอย่างไร ถ้าท่านมีความรักและครอบครัวที่อบอุ่น ลูกของท่านก็จะไม่น่ามีปัญหา และอย่าลืมว่า ตอนที่เราส่งลูกไปเรียนนั้น เขายังเป็นแค่เด็กชาย เมื่อเขากลับมา ลูกของท่านจะมีคำว่านายนำหน้า ดังนั้นท่านต้องปฏิบัติกับเขาอย่างที่เขาเป็นผู้ใหญ่ มิใช่ไปติดภาพตอนที่ลูกกำลังเดินทางไป แล้วไปปฏิบัติกับเขาอย่างนั้น การที่เราสามารถเลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ที่ผมว่าผู้ใหญ่นี้ มิใช่ตัวใหญ่นะ แต่มีความหมายว่ามีความคิดเป็นผู้ใหญ่ และรู้จักว่าตัวเองต้องทำอย่างไร รู้จักคิดเป็น รู้จักค่าของเงินแลัรู้จักหาเงินใช้เอง นี่สิครับคือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่ ผมต้องปรบมือให้ มิใช่ใบปริญญาหรือคำว่าเกียรตินิยมตามต่อท้ายมา สิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยงแท้ เท่ากับความคิดที่ลูกจะได้รับมา และการที่ทำตนให้เป็นประโยชน์ของสังคม และต่อครอบครัว การรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้ที่มีพระคุณ นี่เป็นสิ่งที่สูงสุดในความคิดของผมครับ อาจจะมีหลายๆท่านที่เคยมีประสบการณ์ที่เมื่อ ลูกกลับจากต่างประเทศแล้ว เวลาพูดอะไรกับเขา จะได้รับการกระทำที่เชื่องช้า คล้ายกับว่าเขาไม่เคารพเหมือนตอนที่ลูกยังเล็กอยู่ จึงไปกล่าวหาว่าเป็นเพราะ ลูกได้เอานิสัยของพวกฝรั่งตะวันตกมา
มีตัวอย่างอยู่หลายๆอันที่ ผมสามารถยกมาเล่าให้ฟัง ทางฝั่งตะวันตก เขาจะมีวัฒนธรรมอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อลูกอายุครบ 18 ปี พวกเขาจะถึงเวลาที่จะออกไปหาที่อยู่ใหม่ ส่วนหนึ่งจะไปเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ซึ่งต้องมีการย้ายออกจากบ้านไปอาศัยในหอพัก หากพวกเด็กไม่เลือกที่จะเรียน พวกเขาก็อยากออกไปทำงานหาเงิน เมื่อมีรายได้ เขาก็จะย้ายออกจากบ้าน เปรียบเสมือนลูกนกที่โตแล้ว ต้องออกไปหาที่ทำรังใหม่ วัฒนธรรมนี้ คนไทยจะไม่รู้สึกคุ้นเคย และคิดเสมอว่า ลูกจะต้องอยู่ในบ้านที่พวกเขาโตขึ้นมา แล้วเวลาพ่อแม่แก่เฒ่า จะได้อาศัียพึ่งพิง แต่ฝั่งเขาจะมีความคิดว่า หากลูกไม่ยอมออกไปอาศัยข้างนอก หรือแยกบ้านออกไป ลูกๆพวกนั้นจะเป็นพวกไม่เอาไหน เป็นพวกลูกแหง่ ไม่โตเป็นผู้ใหญ่ พ่อแม่ของเขาอาจต้องอาศัยบรรดาจิตแพทย์ กันทีเดียว นี่เป็นการยกตัวอย่างที่ท่านผู้ปกครองต้องนำมาพิจารณา หากลูกเรามีพฤติการณ์อย่างนี้ เราก็เพียงแค่พูดให้เขาเข้าใจถึง รายได้และรายจ่ายที่จะต้องเกิดขึ้น หากเขาคิดจะออกไปอยู่ข้างนอก ผมมั่นใจว่าลูกเป็นคนฉลาด และสามารถคิดคำนวนได้ว่า อย่างไหนจะ productive มากกว่ากัน

ข้อที่สี่ และผมว่าบทความมันเริ่มจะยาวเกินไปแล้ว เลยขอเป็นข้อสุดท้ายในตอนนี้ เรื่องยาเสพติด เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กังวลใจของท่านผู้ปกครองกันมาก เพราะว่าการที่ลูกอยู่ไกลหูไกลตา ความเป็นห่วงก็มีมากขึ้น จากที่ลูกได้ไปเรียนในโรงเรียน Boarding School ที่ต้องอยู่แบบประจำนั้น โรงเรียนเหล่านี้เขามีชื่อเสียง เพราะว่าเปิดมานานมาก เรื่องของการที่เด็กจากที่ต่างๆ เข้ามาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ก็แน่นอนจะต้องมีดีมีไม่ดี แต่มาตรการของที่นั่นเข้มและไม่อ่อนให้ใคร หากมีการจับได้ว่าเด็กมีการใช้ยาเสพติด เอาแค่สูบกัญชา เด็กคนนั้นก็ถูกไล่ออกทันที และยังมีการเชิญผู้ปกครองมาตำหนิ และถูกแบล็กลิสต์อีก ว่าคราวหน้าจะไม่สามารถเอาเด็กคนอื่นมาเข้าเรียนได้ มีอยู่กรณีหนึ่งซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆคือ เนื่องจากลูกผมเล่นเทนนิส และติดทีมของโรงเรียน แต่เป็นแค่ตัวสำรอง มีตัวจริงที่เล่นได้ดีกว่า และตัวจริงนี้มีอันดับอยู่ใน Junior Ranking ของประเทศสหรัฐ มีอยู่ครั้งหนึ่ง โรงเรียนต้องไปแข่งที่ต่างเมือง ไกลพอควรจากเมืองที่อยู่ พอไปถึงต้องไปรอเพราะว่าฝนตกหนัก เลยต้องย้ายสนามแข่ง พวกเด็กตัวทีม ไม่ค่อยอยากเล่นเพราะว่าจะมีการสอบ และอยากกลับมาทำงานที่อาจารย์สั่งไว้ พอถึงเวลาแข่งขัน ตัวจริงก็ลงแข่งแต่เล่นแบบไม่เต็มใจเล่น แกล้งทำให้ทีมแพ้ จะได้กลับเร็วๆ ทีมเจ้าบ้านที่เป็นคู่แข่งขันโดยอาจารย์ใหญ่ ไม่พอใจกล่าวหาว่าโรงเรียนของลูกไม่มีน้ำใจนักกีฬา และได้โทรฯกลับมาต่อว่าอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนลูก ผลคือนักกีฬาที่ลงแข่งขันในวันนั้นโดนไล่ออกจากโรงเรียนด้วยข้อหา Unsportman Conduct ทำให้นักเทนนิสมือหนึ่งที่กำลังจะจบและได้ทุนไปเรียนที่ Princeton University ต้องหลุดจากทุนการศึกษา ดูครับ ฝรั่งเขาซีัเรียสมากเกี่ยวกับการเป็นคนที่มีคุณภาพของเด็กของเขา ลองนี่เป็นประเทศไทยซิ คงมีคนออกมารับและยกโทษให้นักเทนนิสไปแล้ว ทำให้เด็กที่เป็นนักกีฬาคิดว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษ และความรู้สึกนี้จะตามตัวเด็กออกไปเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในสังคม ดังนั้น เด็กที่โตจากต่างประเทศมักจะมีคุณภาพมากกว่าเด็กที่โตในไทย นี่ไม่อาจใช้เป็นข้อสรุปได้นะแต่อาศัยที่ได้พบมาครับ

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูล